<ยินดีต้อนรับสู่บล็อค รอบรู้สังคมศึกษา กับคุณครูพี่นิ่ง จ้า> ...ยินดีต้อนรับจ้า...

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

การคอร์รัปชัน




การคอร์รัปชัน



คำว่า "การฉ้อราษฎร์บังหลวงมีความหมายอย่างกว้างตรงกับคำว่า "Corruption" ในภาษาอังกฤษ หรืออย่างน้อยที่สุดมีความหมายใกล้เคียงกัน (ธานินทร์ กรัยวิเชียร, 2510: น้า1)   แต่บางคนก็มีความเห็นว่า คำว่า "ฉ้อราษฎร์บังหลวง" มีความหมายแคบกว่า "Corruption" เพราะคำว่า "ฉ้อราษฎร์บังหลวง" อาจจะหมายถึงเฉพาะการเบียดบังยักยอกทรัพย์ของรัฐและของสาธารณะเท่านั้น แต่บางคนก็มีความเห็นว่า คำนี้น่าจะรวมถึงการกินสินบนและการแสวงหาอำนาจโดยวิธีการที่ผิดทำนองคลองธรรมด้วย ซึ่งตรงกับความหมายของคำว่า "Corruption" ในภาษาอังกฤษ (ธานินทร์ กรัยวิเชียร, 2510: น้า1) และตรงกับความหมายที่คนทั่วไปในปัจจุบันนี้เรียกการฉ้อราษฎร์บังหลวงทับศัพท์ว่าคอร์รัปชัน โดยมีความหมายบางส่วนไม่ครอบคลุมหรือเกินเลยไปบ้าง  เพราะฉะนั้น คำว่าการฉ้อราษฎร์บังหลวงหรือคอร์รัปชันจึงมีความหมายอย่างเดียวกันโดยอนุโลม
คอร์รัปชันเป็นคำที่ได้ยินแล้วเข้าใจ อะไรที่มีคอร์รัปชันหมายถึงว่าสิ่งนั้น เลว แต่การให้นิยาม หรือให้คำจำกัดความของคอร์รัปชันอย่างเป็นระบบอาจมิใช่เป็นเรื่องที่ง่ายนัก โดยเฉพาะกรณีที่ต้องการประเมินคอร์รัปชันหรือต้องการสร้างเครื่องชี้วัดระดับคอร์รัปชัน เนื่องจากเราจะต้องการความหมาย   ของคอร์รัปชันที่ครอบคลุมพฤติกรรมคอร์รัปชันทั้งหมด และเป็นจริงในสังคมไทย โดยสอดรับกับแนวความคิดและพฤติกรรมอย่างเป็นสากลได้ซึ่งต้องวัดหรือประเมินในเชิงปริมาณได้
ความหมายทั่วไป
                มีร์ดาล (Gunnar Myrdal) ให้ความหมายไว้ใน วารสารเอเชียนแม็กกาซีน (Asian Magazine) ว่า คอร์รัปชัน เป็นคำที่มีความหมายกว้างขวาง หมายถึงการกระทำทุกอย่างที่เป็นไปโดยมิชอบ หรือเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว โดยใช้อำนาจและอิทธิพลที่มีอยู่ในตำแหน่งหน้าที่หรืออาศัยฐานะตำแหน่งพิเศษที่ตนมีอยู่ในกิจสาธารณะ รวมทั้งการกินสินบนด้วย (Myrdal, 1968: p.13)   
ใน พจนานุกรมแบล็ค ลอว์ (Black Law Dictionary) ให้ความหมายว่า คอร์รัปชันหมายถึง  "....การกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการกระทำชั่วและฉ้อโกง โดยมีเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงกฎหมาย รวมทั้งการกระทำที่ขัดต่อตำแหน่งหน้าที่และสิทธิของผู้อื่น นอกจากนี้ ยังหมายถึงการที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งซึ่งประชาชนไว้วางใจกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ โดยการรับหรือยอมรับประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น" (Black Law Dictionary, 1979: p.50) 
                แวนรอย (Edward van Roy) ได้ให้ความหมายคำว่า คอร์รัปชัน ว่าคือ  "...การใช้อำนาจเพื่อให้ได้มาซึ่งผลกำไร ความชอบพอ หรืออภิสิทธิ์ หรือเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มหรือชนชั้น ซึ่งออกมาในรูปการกระทำที่ละเมิดกฎหมาย หรือละเมิดมาตรฐานความประพฤติทางศีลธรรมจรรยาที่ยอมรับ."  (van Roy, 1970: p.86)
                วารินทร์ วงศ์หาญเชาว์ ได้ให้ความหมายอย่างทั่วไปว่า การคอร์รัปชันเป็น "...สถาบันนอกเหนือกฎหมาย (extra-legal institution) หรือนอกเหนือข้อตกลงโดยชอบธรรมทางสังคมในขณะหนึ่งๆ ซึ่งบุคคลหรือคณะบุคคลที่อยู่ในระบบราชการ หรือระบบเอกชน หรือทั้งสองระบบใช้ปฏิบัติเพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์แห่งตน โดยทำให้บุคคลอื่นที่ไม่มีส่วนร่วมด้วยโดยตรงต้องเสียประโยชน์ทั้งทางตรงหรือทางอ้อม ทั้งนี้ สุดแล้วแต่ผลของการต่อรองหรือการยินยอมของบุคคลที่มีส่วนร่วมโดยตรงในการกระทำนั้นๆ...." (วารินทร์ วงศ์หาญเชาว์, 2516: หน้า 45)
                ในลักษณะดังกล่าวข้างต้น    การฉ้อราษฎร์บังหลวงเป็นเรื่องที่เน้นไปทางด้านความรู้สึกของบุคคลที่เรียกว่า "อัตวิสัย" (subjective) เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับระบบคุณค่า (value system) ซึ่งยากต่อการกำหนดลักษณะอย่างตายตัว  การที่จะบอกว่าอะไรคือฉ้อราษฎร์บังหลวงนั้นย่อมจะขึ้นอยู่กับจุดอ้างอิง (reference point) ที่ใช้การที่จะเอามาตรฐานของสังคมหนึ่งไปวัดพฤติกรรมของอีกสังคมหนึ่ง ว่าเป็นฉ้อราษฎร์บังหลวงหรือไม่นั้น ต้องทำด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง แนวความคิดการฉ้อราษฎร์บังหลวงจะใช้แบบสมบูรณนัย (absolute concept) ไม่ได้ เพราะการฉ้อราษฎร์บังหลวงไม่ว่าจะเกิดขึ้นในสังคมใดก็ตาม ย่อมมีสภาพพลวัตร (dynamism) ในตัวเอง นั่นคือความหมายของคอร์รัปชันย่อมเปลี่ยนแปลงได้เสมอสุดแต่ปทัสถาน (norms) ของสังคมในขณะนั้นเป็นเกณฑ์ (วารินทร์ วงศ์หาญเชาว์, 2516: หน้า 44-45)
Corruption ในภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส มีรากศัพท์มาจากภาษาลาติน corruptus ซึ่งเป็น past participle ของ corrumpere แปลว่า break to pieces completely  (แตกออกเป็นชิ้นๆ อย่างละเอียด)
Webster's New World Dictionary of the American Language ระบุว่า "Corruption" และมีความหมายหลายนัย  (สภาวิจัยแห่งชาติ, 2509: น้า 11-12) ดังนี้                                  
การเปลี่ยนแปลงหรือผันแปรไปในทางที่เลว การกระทำที่กลับกลายหรือกำลังเป็นไปในทางที่เลว
ความประพฤติไม่ดีหรือชั่วร้าย ความเสื่อมทราม การกินสินบน เสื่อมสลายหรือเน่าเปื่อย สิ่งของหรืออิทธิพลซึ่งใช้ในทางที่ผิด
The American Heritage Dictionary of the English Language ให้ความหมาย ที่เป็นคำนามไว้ว่า
Immoral (ผิดศีลธรรม เลว ร้ายแรง); perverted (นำไปในทางที่ผิด บิดเบือน); depraved (ทำให้เสื่อมทรามลง ความเลวทราม).Marked by venality and dishonesty (ถือเงินเป็นพระเจ้า เห็นแก่เงิน ซื้อได้ด้วยเงิน เห็นแก่สินบน โกง ไม่ซื่อสัตย์).Decaying (ปรักหักพัง ผุ ละลาย เน่าเปื่อย เสื่อลง หมดกำลังวังชา); putrid (เน่า ทำให้เน่า).Impure (ไม่บริสุทธิ์); cotaminated (ทำให้เน่า ทำให้เปรอะเปื้อน โสโครก); unclean (ไม่สะอาด สกปรก).Containing errors or alterations,.as a text (มีความผิดพลาดคลาดเคลื่อนในการแก้ไขเปลี่ยนแปลง); debased (ทำให้ต่ำ เจือด้วยของต่ำ).
ในลักษณะที่เป็นกริยา มีความหมายว่า
To destroy or subvert the honesty or integrity of (ทำลายหรือลบล้างความสุจริตและความซื่อสัตย์).
To ruin morally (ทำให้ศีลธรรมเสื่อม); to pervert (บิดเบือน นำไปในทางที่ผิด).
To taint (ทำให้ด่างพร้อย ทำให้มีมลทิน); contaminate (ทำให้แปดเปื้อน สกปรก โสโครก); infect (ทำให้สกปรก แปดเปื้อน).
To cause to become rotten (ทำให้เน่า); spoil (ทำให้เสีย).
To change the original form of (a text, language, or the like) ทำให้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม)
                Funk and Wagnals New Standard Dictionary of the English Language  ให้ความหมายไว้ว่า Corruption  หมายถึง การใช้อำนาจไปในทางที่ไม่ซื่อตรงต่อหน้าที่  โดยเฉพาะการกินสินบน
                The Shorter Oxford English Dictionary ให้คำอธิบายไว้ว่า Corruption เป็นการกระทำให้ความซื่อตรงเสื่อม จากการรับสินบนเพื่อช่วยเหลือกัน จากการใช้วิธีปฏิบัติมิชอบ หรือจากการปฏิบัติมิชอบ"
                Encyclopedia Britannica ได้ให้คำอธิบายไว้ว่า "การปฏิบัติมิชอบ" (corrupt practices) มีความหมายรวมไปถึงการกินสินบนและใช้อิทธิพลเกินขอบเขต โดยเฉพาะในการเลือกตั้ง
                เบย์เลย์ (David H. Bayley) ได้กล่าวไว้ใน “The Effects of Corruption in a Developing Nation” ในหนังสือ Political Corruption ของ Arnold J. Heidenheimer ว่า "คอร์รัปชันเป็นเรื่องธรรมดาของประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลาย ซึ่งมักจะกล่าวขวัญกันอยู่เป็นประจำในรูปของข่าวลือเสียเป็นส่วนมาก แต่ก็มีเค้ามูลความจริงอยู่มากเหมือนกัน และพอจะตั้งเป็นข้อสังเกตไว้ว่า ประชาชนในประเทศด้อยพัฒนามักจะถือว่าการฉ้อราษฎร์บัหลวงเป็นองค์ประกอบชีวิตประจำวันของข้าราชการ อันจะขาดเสียมิได้ และบรรดาข้าราชการทั้งหลายก็มีความรู้สึกเช่นนั้นด้วย" (สุชาติ สวัสดิ์ศรี, 2518: น้า 1)
                        นอกจากนั้น เบย์เลย์ (David H. Bayley) ได้ให้ความหมายว่า "คอร์รัปชัน ในส่วนที่เกี่ยวกับการรับสินบนนั้นเป็นถ้อยคำที่มีความหมายกว้างขวาง ครอบคลุมถึงการใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ผิด อันเกิดจากการเห็นประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง  ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นเงินตราเสมอไป"
                แม็คมุลเลน (M. McMullen) กล่าวไว้ในหนังสือชื่อ A Theory of Corruption ว่า "ถ้าข้าราชการคนใดรับเงินหรือสิ่งของที่มีค่าเป็นเงิน  เพื่อทำการอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งตนมีหน้าที่อยู่แล้ว หรือให้ทำในสิ่งที่ตนไม่มีหน้าที่ต้องปฏิบัติ  หรือเลือกกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดด้วยเหตุผลที่ไม่สมควร  ถือว่าข้าราชการผู้นั้นฉ้อราษฎร์บังหลวง" (สุชาติ สวัสดิ์ศรี, 2518: น้า 1)

                        ศาสตราจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียร กล่าวว่า การฉ้อราษฎร์บังหลวงเป็นโรคระบาดที่น่าสะพรึงกลัวในบรรดาประเทศด้อยพัฒนา (underdeveloped countries) หรือที่เรียกให้ไพเราะว่า ประเทศกำลังพัฒนา  (developing countries) และไม่มียุคใดสมัยใดที่ประชาชนจะห่วงกังวลใจในเรื่องการฉ้อราษฎร์บังหลวงเท่าสมัยปัจจุบัน (ธานินทร์ กรัยวิเชียร, 2510:หน้า 1)  และมีความเห็นต่อไปอีกว่า การฉ้อราษฎร์บังหลวง      มีลักษณะแปลกไปจากความผิดหรืออาชญากรรมประเภทอื่นๆ อยู่ประการหนึ่ง คือยากแก่การป้องกันและปราบปราม เพราะผู้ที่รู้เห็นส่วนมากมักเป็นผู้ที่ร่วมกระทำความผิดด้วย จึงยากแก่การพิสูจน์ ยิ่งกว่านั้นยังเป็นที่ยอมรับกันว่า แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าใครกินสินบาตรคาดสินบนก็พูดตรงๆ ไม่ได้ เพราะถึงจะเป็นเรื่องจริงก็อาจจะถูกฟ้องฐานหมิ่นประมาทได้ ส่วนการที่จะพิสูจน์ว่าเป็นเรื่องแสดงข้อคิดเห็นเพื่อสาธารณประโยชน์ก็มีอุปสรรคดังกล่าว กรณีนี้จึงเป็นเรื่องพูดกันตามเสียงลือ ซึ่งผู้พูดจะต้องรับผิด ดังนั้นการกล่าวถึงเรื่องการฉ้อราษฎร์งบังหลวงจึงต้องพูดกันอย่างระมัดระวังและพูดได้เพียงกลางๆ เท่านั้น (ธานินทร์ กรัยวิเชียร, 2510 หน้า 1)
                ยังมีนักวิชาการและผู้ทรงคุณวุฒิอีกเป็นจำนวนมากที่ได้วิพากษ์วิจารณ์ปัญหาการฉ้อราษฎร์บังหลวงในประเทศไทย ซึ่งมักจะมีความเห็นใกล้เคียงกับที่ได้กล่าวมาแล้วเพียงแต่เน้นพัฒนาการ รูปแบบวิธีการ รวมถึงเทคนิคที่ใช้ในการฉ้อราษฎร์บังหลวงแตกต่างกันไปตามยุคสมัยเท่านั้น และส่วนใหญ่มีความเห็นในลักษณะที่ห่วงใยว่า ปัญหานี้ไม่สามารถหาทางขจัดให้สิ้นไปจากชาติบ้านเมืองได้ และเกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติโดยส่วนรวมเป็นอันมาก คำนิยามข้างต้นสามารถสรุปองค์ประกอบสำคัญได้ 3 จำพวก  คือ (1) คำนิยามซึ่งเน้นที่ระบบราชการ  (2) เน้นที่กลไกการตลาด และ (3) เน้นที่ประโยชน์สาธารณะ (Heidenheimer, 1970: pp.4-6)  ดังนี้    
                ความหมายที่เน้นระบบราชการ
                คำนิยามที่เน้นถึงระบบราชการ (public office-centered definition)   เช่น คำนิยามของ แม็คมุลเลน (McMullen) ที่กล่าวว่า "ถ้าเจ้าหน้าที่คนใดรับเงินในการปฏิบัติหน้าที่ ลักษณะการกระทำเช่นนี้ถือได้ว่าเป็นการคอร์รัปชัน" หรือคำนิยามของ นีย์ (J. S. Nye) ซึ่งได้ให้ความหมายไว้ว่า   "คอร์รัปชันเป็นพฤติกรรมซึ่งเบี่ยงเบนออกจากหน้าที่ที่ปฏิบัติโดยปกติ    เพราะคำนึงถึงประโยชน์ส่วนตัว  (เช่น ครอบครัว ความเป็นเพื่อน) และเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ซึ่งรวมถึงการให้สินบน การเกื้อหนุนญาติมิตร การโกงเงินหรือทรัพย์สินที่จัดไว้เป็นพิเศษ" (Heidenheimer, 1970: p.5)              
                ความหมายที่เน้นกลไกทางตลาด
                คำนิยามที่เน้นถึงการต่อรองตามกลไกทางตลาด (market-centered definition) เช่นคำนิยามของ เลฟท์ (Nathaniel Left) ซึ่งได้ให้ความหมายว่า  "คอร์รัปชัน เป็นสถาบันนอกเหนือกฎหมาย ซึ่งบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใช้ปฏิบัติเพื่อให้ได้มาซึ่งอิทธิพลในระบบการบริหาร    การกระทำที่ถือว่าเป็นการคอร์รัปชันมีความสำคัญอยู่ที่ว่ากลุ่มเหล่านั้นสามารถเข้าร่วมในการตัดสินนโยบายการบริหารได้มากกว่ากลุ่มอื่น" (Heidendeimer, 1970: p.3)
                ความหมายที่เน้นเรื่องสาธารณประโยชน์
                        คำนิยามที่เน้นถึงการขัดสาธารณประโยชน์ (public-interest-centered definition)   เช่น คำนิยามของ ฟรีดริช (Carl Friedrich) ซึ่งได้ให้ความหมายว่า การฉ้อราษฎร์บังหลวงปรากฏอยู่ในทุกแห่งหน  เป็นการใช้อำนาจในการกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด โดยได้รับสินจ้างรางวัลหรือเงินทองตอบแทนซึ่งการกระทำนั้นเป็นการทำลายประโยชน์ของสาธารณะ หรือดังคำนิยามของ โรโกว์ (Arnold A. Rogow) และ ลาสส์เวลล์ (Harold D. Lasswell) ว่า  "คอร์รัปชันเป็นการฝ่าฝืนหรือละเมิดความรับผิดชอบต่อกฎข้อบังคับที่พลเมืองพึงปฏิบัติ   และเป็นสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับระบบสาธารณประโยชน์โดยทั่วไป และการฝ่าฝืนนั้นทำเพื่อให้ได้มาซึ่งความได้เปรียบ" (Heidenheimer, 1970: p.6)
                คำนิยามของวารินทร์ วงศ์หาญเชาว์ ได้เน้นเรื่อง "สถาบันนอกเหนือกฎหมาย" และ "บุคคลหรือคณะบุคคลที่อยู่ในระบบราชการ" ซึ่งเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมโดยตรงในการใช้สถาบันดังกล่าว และเน้นที่ระบบราชการ    โดยที่ฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์และอีกฝ่ายหนึ่งต้องเสียผลประโยชน์ "ตามผลของการต่อรองโดยความยินยอมของบุคคลที่มีส่วนร่วมโดยตรงนั้น" เป็นการให้ความหมายที่ครอบคลุมถึงคำนิยามประเภทที่เน้นถึงการต่อรองตามกลไกทางตลาด ส่วนการเน้นว่า "บุคคลอื่นที่ไม่มีส่วนร่วมโดยตรงต้องเสียประโยชน์ จะโดยทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม" มีความหมายคลุมถึงคำนิยามประเภทที่เน้นการขัดสาธารณประโยชน์ (วาริทร์ วงศ์หาญเชาว์, 2516: หน้า 45-47)
                อนึ่ง คำนิยามของวารินทร์ วงศ์หาญเชาว์ ยังกินความกว้างไปกว่าของไฮเดนไฮเมอร์ ตรงที่กล่าวว่า การฉ้อราษฎร์บังหลวงเกิดขึ้นแม้แต่ในกิจกรรมของเอกชน หรืออาจจะยังผลเสียหายให้เกิดขึ้นทางอ้อมในอนาคตได้ คำนิยามนี้สอดคล้องกับความคิดของ มีร์ดาล นิยามของ เรท (Ronald Wraith) และ ซิมกินส์ (Edgar Simkins) ซึ่งระบุว่า"คอร์รัปชัน คือการแสวงหาอำนาจ หรือการใช้อำนาจโดยวิธีการอันผิดกฎหมาย หรือผิดทำนองคลองธรรม และไม่ถูกต้องด้วยจริยธรรม รวมตลอดถึงการเล่นพรรคเล่นพวกในวงการบริหารบุคคลด้วย" (Wraith & Simkins, 1963: p.43)  ในทำนองเดียวกัน ชัยอนันต์ สมุทวณิช กล่าวว่า "คอร์รัปชันเป็นการทำให้เสื่อมเสียความซื่อตรง โดยรับสินบนหรือโดยช่วยเหลือกัน การใช้วิธีปฏิบัติอันมิชอบ หรือมีการปฏิบัติอันมิชอบ อาทิ การกินสินบน การขายตำแหน่งหน้าที่ การอนุมัติทำสัญญาของทางราชการกับบริษัทห้างร้านหรือเอกชนที่ชอบพอกัน และการที่ราชการยอมอนุญาตให้มีที่ดินหรือสิทธิพิเศษเพื่อแลกเปลี่ยนกับเงินรางวัล  เป็นต้น" (ชัยอนันต์ สมุทวณิช, 2519: หน้า 1) 
                จากนิยามตามทัศนะสากลทั่วไปของนักวิชาการหลายท่านที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น ทำให้เห็นความหมายที่กว้างขวาง ไม่เพียงแต่จะกินความถึงการฉ้อราษฎร์บังหลวงในระบบข้าราชการเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงเรื่องกิจกรรมทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมในภาคเอกชนอีกด้วย
ความหมายในบริบทไทย
                การฉ้อราษฎร์กับการบังหลวง
                พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน  ให้ความหมายของคำว่า "ฉ้อราษฎร์บังหลวง" หมายถึง การที่พนักงาน เจ้าหน้าที่เก็บเงินจากราษฎรแล้วไม่ส่งหลวง หรือเบียดบังเงินหลวง (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน, 2525 : น้า 46) ซึ่งนับเป็นพจนานุกรมฉบับแรกที่ให้ความหมายเรื่องนี้ไว้ในเรื่อง  "ฉ้อ" คำว่าคอร์รัปชันนั้นไม่มีบัญญัติไว้ในพจนานุกรมฉบับนี้   ส่วนพจนานุกรมของบริษัทแพร่พิทยาได้ให้ความหมายของคำว่า "คอร์รัปชัน" ไว้ว่า หมายถึง การฉ้อราษฎร์บังหลวง การเบียดบังเอา โดยอำนาจหน้าที่ราชการ (มานิต มานิตเจริญ, 2507: หน้า 306) และได้ให้ความหมายคำ "ฉ้อราษฎร์บังหลวง" ว่าหมายถึง การรีดนาทาเร้นประชาชน และการเบียดบังทรัพย์ของหลวงเป็นของตน (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน, 2525: น้า 46)  เพราะฉะนั้น คอร์รัปชันตามความหมายในพจนานุกรมไทยก็มีความหมายกว้างขวางมากเช่นเดียวกัน คือหมายถึงการฉ้อราษฎร์บังหลวง ตลอดจนการรีดไถโดยการที่     เจ้าพนักงานเรียกและรับสินบนจากราษฎร ก็จัดเป็นการฉ้อราษฎร์ คือเป็นการเรียกเอาเงินหรืออามิสสินจ้างอย่างอื่น จากราษฎรเพื่อปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติตามหน้าที่   อันเป็นการอำนวยประโยชน์แก่ผู้ให้สินบน สำหรับการบังหลวง คือการที่เจ้าพนักงานกระทำการทุจริตต่อหน้าที่อันทำให้ เกิดความเสียหายแก่ผลประโยชน์ของแผ่นดิน ทั้งนี้ จะเป็นไปโดยสมคบกับราษฎรเบียดยังผลประโยชน์นั้นหรือไม่ก็ตาม (ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช,2514: น้า 170)  เช่น ราษฎรต้องเสียภาษีมาก เจ้าพนักงานก็สมคบกับราษฎร เพื่อให้เสียภาษีน้อย โดยได้รับค่าตอบแทนเป็นสินบนหรืออาจหมายถึงการที่เจ้าพนักงานเบียดบังยักยอกผลประโยชน์ของแผ่นดินโดยไม่มีราษฎรเข้ามาเกี่ยวข้องก็ได้
                การรีดนาทาเร้น การรีดไถ การกินสินบน
                การรีดนาทาเร้นประชาชน หมายถึง  การที่เจ้าพนักงานเรียกเอาเงินจากประชาชนโดยการขู่เข็ญ   อันเข้าลักษณะความผิดเป็นกรรโชกและทำทุจริตในหน้าที่  จึงเข้าลักษณะการคอร์รัปชัน อย่างไรก็ดี ความแตกต่างระหว่างลักษณะการรีดไถ (extortion) และลักษณะการกินสินบน (bribery) นั้น ก็เป็นสิ่งที่เห็นได้ยากมาก เช่น หากมีเจ้าหน้าที่เรียกร้องให้จ่ายเงินโดยผิดกฎหมาย เมื่อขัดขืนก็หาเรื่องให้ถูกลงโทษ เช่นนี้มักเรียกกันว่าเป็นการรีดไถ ในขณะที่การกินสินบน หมายถึงการให้เพื่อเป็นเครื่องชักชวนในทางบวก   เช่น  เมื่อบริษัทห้างร้านใดไม่เสียภาษีตามระเบียบและเจ้าพนักงานก็ได้เรียกร้องเงินจากเจ้าของบริษัท เป็นการตอบแทนเพื่อไม่ให้มีการฟ้องร้อง สิ่งนี้เรียกว่าการรีดไถ  แต่ถ้าเจ้าของบริษัทได้ให้เงินแก่เจ้าหน้าที่ให้ช่วยเหลือในการออกใบสำคัญ สิ่งนี้เรียกว่าเป็นการให้สินบน และการให้สินบนในความหมายเชิงหน้าที่ (functional term)   ก็ถือว่าเป็นการคอร์รัปชัน  เพราะว่าเป็นการทำลายกฎของ     สาธารณประโยชน์ (Heidenheimer, 1970: p.57)
ดังนั้น การที่เจ้าหน้าที่กระทำการเรียกรับหรือยอมรับสินบน หรือใช้ตำแหน่งทำการทุจริต หรือเข้ามีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อผลประโยชน์สำหรับตนหรือผู้อื่น โดยการละเมิด หรืออาศัยตำแหน่งหน้าที่ในทางราชการเพื่อก่อให้เกิดรายได้เป็นของตน ก็ถือว่าเป็นการฉ้อราษฎร์บังหลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำว่า "ฉ้อราษฎร์บังหลวง" ถือเป็นการรีดนาทาเร้นประชาชน เป็นการเรียกรับเอาเงินหรืออามิสอย่างอื่น และคำว่า "อามิส" ตามพจนานุกรมฉบับดังกล่าวข้างต้นก็หมายถึงเหยื่อ เครื่องล่อใจ อาหาร ของโอชารส ของต้องใจ ความเจริญ ความสุขสบาย ความอยาก หรือความกระหาย (มานิต มานิตเจริญ, 2507: หน้า 15-29)  ดังนั้น ถ้าพิจารณาตามความหมายนี้แล้ว การที่เจ้าพนักงานช่วยเหลือญาติพี่น้องพวกพ้องของตนให้ได้รับตำแหน่งหน้าที่ราชการ แม้จะไม่ได้รับสินบน แต่เจ้าพนักงานผู้นั้นก็ได้รับความสบายใจ ก็จัดว่าเป็นการฉ้อราษฎร์บังหลวง (กาญจนี สมเกียรติกุล, 2518: หน้า 12)
                การทุจริตในหน้าที่ก็ถือว่าเป็นการฉ้อราษฎร์บังหลวงในวงราชการ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้ระบุว่า "ทุจริต" หมายความว่า "ประพฤติชั่ว  คดโกง"     และตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 1 ระบุว่า คำว่า "โดยทุจริต" หมายความว่า "เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น" ซึ่งในที่นี้หมายความว่า ประโยชน์ที่แสวงหานั้นเป็นประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือผู้แสวงหาประโยชน์ไม่มีสิทธิที่จะได้รับประโยชน์นั้นตามกฎหมาย ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ในทางทรัพย์สิน หรือไม่ใช่ทรัพย์สินก็ได้ (หยุด  แสงอุทัย, 2502: หน้า 245-246)  ตามนัยนี้ การทุจริตในหน้าที่จึงถือว่าเป็นการคอร์รัปชันด้วย (กาญจนี  สมเกียรติกุล,  หน้า 13)
                โดยสรุป การคอร์รัปชันในความหมายตามทัศนะของคนไทยนั้นมีลักษณะเช่นเดียวกับคำว่าคอร์รัปชัน ซึ่งพออนุโลมได้ว่ามีความหมายเช่นเดียวกันกับทัศนะของสากล อันรวมถึงการคอร์รัปชัน การทุจริตในหน้าที่ราชการ การรีดนาทาเร้นประชาชน การกินสินบน ตลอดจนความอยุติธรรมอื่นๆ ที่ข้าราชการหรือบุคคลอื่นใดใช้เป็นเครื่องมือในการลิดรอนความเป็นธรรมและความถูกต้องตามกฎหมายของสังคม หรือหากจะกล่าวอย่างสั้นที่สุดคือ การทุจริต และการประพฤติมิชอบ ของข้าราชการ ดังที่บัญญัติไว้ ในพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (ฉบับที่ 2) .. 2530 มาตรา 3 ความว่า
                "การทุจริต" หมายความว่า "การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นไม่ปฏิบัติการอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบสำหรับตนเองหรือผู้อื่น"
                "การประพฤติมิชอบในวงราชการ" หมายความว่า "การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นไม่ปฏิบัติการอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย  ระเบียบ ข้อบังคับ  คำสั่ง  มติของคณะรัฐมนตรี อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งมุ่งหมายจะควบคุมดูแลการรับ การเก็บรักษา หรือการใช้เงินหรือทรัพย์สินของแผ่นดิน ไม่ว่าการปฏิบัติหรือละเว้นไม่ปฏิบัตินั้น เป็นการทุจริตในวงราชการด้วยหรือไม่ก็ตามและให้หมายความรวมถึงการประมาทเลินเล่อในหน้าที่ดังกล่าวด้วย"
คอร์รัปชันในเชิงพฤติกรรม
                เป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไปว่า  การคอร์รัปชัน หมายถึง การโกงกิน หรือยักยอกทรัพย์สินของหลวง  และการกระทำที่ขัดต่อหลักการของสาธารณประโยชน์ (public interest)  แต่หากจะบ่งชี้ในรายละเอียดเชิงพฤติกรรมที่เรียกว่า "โกง" นั้นบอกระบุให้ชัดเจนได้ค่อนข้างยาก ดังนั้นการที่จะบอกว่าอะไรคือการคอร์รัปชันจึงเป็นเรื่องที่หนักไปทางด้านอัตวิสัย (subjective) ของบุคคล รวมทั้งเป็นเรื่องเกี่ยวกับระบบคุณค่า (value system) ในลักษณะเช่นนี้ การที่จะบอกว่าอะไรคือการคอร์รัปชันนั้นย่อมขึ้นอยู่กับจุดอ้างอิง (referencepoint) ที่เราใช้ (วารินทร์ วงศ์หาญเชาว์, 2516: หน้า 45) ด้วยเหตุนี้การที่จะเอามาตรฐานของสังคมหนึ่งไปวัดพฤติกรรม ของอีกสังคมหนึ่งว่าเป็นการคอร์รัปชันหรือไม่นั้นเป็นสิ่งที่ไม่พึงกระทำ หรือต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากความเห็นของแต่ละบุคคลในแต่ละสังคมนั้นมีความแตกต่างกันไป สุดแต่ว่าบุคคลนั้นๆ จะมีความรู้ ประสบการณ์และอคติต่อศัพท์คำนี้มากน้อยเพียงใด นอกจากนี้แนวความคิดที่ใช้เกี่ยวกับการคอร์รัปชันนั้นจะใช้แบบสมบูรณนัย (absolute concept) ไม่ได้ เพราะการคอร์รัปชันไม่ว่าจะเกิดในสังคมใดก็ตามย่อมมีสภาพพลวัตร (dynamism) ในตัวเอง (วารินทร์ วงศ์หาญเชาว์, 2516: หน้า 45)   นั่นคือ ความหมายของการคอร์รัปชันย่อมเปลี่ยนไปได้เสมอสุดแต่แบบกำหนด หรือปทัสถาน (norms) ของสังคมในระยะเวลานั้นๆ และขึ้นอยู่กับทัศนคติของสังคมนั้นด้วย การกระทำที่เรียกว่าเป็นการคอร์รัปชันในสังคมหนึ่งอาจจะถือว่าไม่เป็นความผิดในอีกสังคมหนึ่งก็ได้
                ถ้าเราจะพิจารณาว่า  การกระทำอันใดที่จัดอยู่ในประเภทการคอร์รัปชันโดยใช้มาตรฐานของสังคมไทยปัจจุบันเป็นจุดอ้างอิง อาจจะประมวลในเชิงแนวความคิดได้ดังนี้ (ธานินทร์ กรัยวิเชียร, 2510: หน้า 13)
ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการซึ่งเจ้าพนักงานเป็นผู้กระทำ เช่น ยอมรับสินบน เรียกรับสินบน หรือการใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริต หรือเข้ามีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนหรือผู้อื่น
ความผิดต่อวินัยราชการ เช่น การใช้เวลาและทรัพย์สินของทางราชการเพื่อประโยชน์ส่วนตัว และใช้อำนาจหน้าที่ไปในทางมิชอบ
                จะเห็นได้ว่า การกระทำที่จัดอยู่ในประเภทการคอร์รัปชันสำหรับ    สังคมไทยปัจจุบัน มักจะเป็นเรื่องที่มีขอบข่ายเกี่ยวข้องอยู่เฉพาะด้านข้าราชการเป็นสำคัญ โดยพิจารณาว่าข้าราชการเป็นตัวจักรกลสำคัญที่ทำให้เกิดพฤติกรรม  การคอร์รัปชันในสังคม

การคอรัปชั่น 2

ของขวัญ ของกำนัล
                ปัญหามีอยู่ว่า  การหาผลประโยชน์หรือการกระทำการอย่างอื่นอันมิบังควรจะจัดเป็นการคอร์รัปชันหรือไม่ เช่น กรณีที่เจ้าพนักงานรับของขวัญหรือของสมนาคุณจากผู้ที่ตนให้ประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งตามหน้าที่ ซึ่งในขณะกระทำการตามหน้าที่ เจ้าพนักงานก็ทำไปด้วยความสุจริตใจ มิได้หวังของดังกล่าวแต่ประการใด ทั้งฝ่ายผู้ให้ก็มิได้หวังอะไร   นอกจากให้ด้วยน้ำใสใจจริง  กรณีเช่นนี้จะถือเป็นการ  คอร์รัปชันหรือไม่ และกรณีนี้จะเป็นการสมควรที่จะกระทำหรือไม่ กรณีดังกล่าวข้างต้นอาจจัดเป็นการคอร์รัปชันได้ยาก เว้นเสียแต่จะมีวินัยของเจ้าพนักงานดังกล่าวบัญญัติห้ามไว้ อย่างไรก็ตาม กรณีนี้เป็นปัญหาอยู่ว่าสมควรหรือไม่สมควร จะเห็นว่าเรื่องที่ปรากฏในสังคมส่วนมากมักจะตรงข้ามกับกรณีดังกล่าว โดยมากมักเป็นเรื่องทำนอง "หว่านพืชเพื่อหวังผลในด้านผู้ให้และด้านผู้รับก็มักปลอบใจตนเองเสียว่า ไม่ได้เรียกร้อง เขาให้เอง จะผิดอย่างไร ถ้าปฏิเสธเขาจะเสียน้ำใจ บางกรณี เช่น การให้ของขวัญจากที่มีการประมูลซื้อของไว้ใช้ในทางราชการ เป็นต้น ย่อมเห็นได้ชัดว่าไม่สมควร ปัญหามีอยู่ว่า จะถือสิ่งใดเป็นเกณฑ์ตัดสินว่า การใดเป็นการคอร์รัปชันหรือไม่เป็นเกณฑ์ตัดสินที่น่าเชื่อถือก็คือ  นอกจากจะถือเอาความรู้สึกของมวลชนเป็นปทัสถานแล้วควรต้องคำนึงถึงพฤติการณ์แต่ละเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ (professional ethics) นั้นๆ ประกอบด้วย (ธานินทร์ กรัยวิเชียร, 2510หน้า 3)  การละเมิดเกณฑ์มาตรฐาน (standard criteria) หรือปทัสถาน (norm) ของแต่ละสาขาอาชีพก็เป็นเกณฑ์สำคัญในการตัดสินว่าเป็นการคอร์รัปชัน
                การให้
                การให้ทานหรือการทำบุญนั้น  อาจเป็นการคอร์รัปชันหรือไม่เป็นก็ได้ ในบางกรณีการทำบุญหรือการให้ทานก็อาจจัดเข้าอยู่ในเทคนิคของการคอร์รัปชันและเครื่องพรางตาของการคอร์รัปชันได้อย่างหนึ่ง  โดยทั่วไปแล้วการให้ทานหรือการทำบุญนั้นเรียกได้ว่าเป็นการเสียสละ ซึ่งไม่ได้อยู่ในขอบเขตแห่งความหมายของคำว่า คอร์รัปชัน แม้แต่การจ่ายค่าบริการ (tip) หรือการให้ของขวัญ (gift) ใครโดยสมัครใจ ก็มิใช่เป็นการคอร์รัปชัน แต่เป็นความใจดีของผู้ให้  กรณีทั้งหมดนี้ถือเป็นเทคนิคของการให้   แต่เทคนิคเหล่านี้ก็อาจนำมาจัดอยู่ในการคอร์รัปชันได้ขึ้นอยู่กับ เจตนาที่แท้จริงและการละเมิดปทัสถานของสังคมดังกล่าวมาข้างต้น จริงอยู่การให้ของขวัญใครเพราะความเป็นเพื่อนกันอาจเกิดขึ้นได้ แต่การคอร์รัปชันก็อาจเกิดขึ้นได้ภายในโครงสร้างของความเป็นเพื่อนนี้เช่นกัน ซึ่งถ้าหากวิเคราะห์แต่ละกรณีว่าของขวัญนั้นมาจากไหน ก็อาจจะพิจารณาได้ว่าเป็นพฤติกรรมคอร์รัปชัน การฉ้อราษฎร์บังหลวงหรือไม่ เพราะว่าการให้ของขวัญนั้นถ้ามีการใช้อำนาจในหน้าที่การงานในทางที่ผิด โดยพยายามหันเหความใจดีของตนออกจากปทัสถานที่สังคมยอมรับแฝงอยู่ด้วยแล้ว ก็ถือได้ว่าเป็นการให้สินบน อันเข้าลักษณะการคอร์รัปชัน
                การเห็นแก่ความเป็นญาติมิตร
                การให้ตำแหน่งหน้าที่แก่เพื่อนฝูงหรือที่เรียกว่า "การเล่นพรรคเล่นพวก" (favoritism)  หรือให้ประโยชน์แก่ญาติพี่น้องที่เรียกกันว่า "การเกื้อหนุนญาติมิตร" (nepotism)    จะจัดเป็นเรื่องการคอร์รัปชันหรือไม่ ในต่างประเทศมักจะจัดเรื่องการเล่นพวกและการเกื้อหนุนญาติมิตรว่าเป็นการคอร์รัปชัน เพราะถือว่าเป็นการเอารัดเอา เปรียบส่วนรวม และไม่เป็นธรรมแก่ผู้ที่มีความรู้มีความสามารถ แต่ตามความรู้สึกของคนไทยหลายท่านเห็นว่า  เรื่องเหล่านี้ไม่เป็นการคอร์รัปชัน เพราะมีเหตุผลว่างานในตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ นั้นควรถือเอาความไว้วางใจเป็นสำคัญ  จึงได้เลือกญาติมิตรมาก่อนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม  ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วน่าจะเป็นข้ออ้างมากกว่า เกณฑ์พิจารณาในที่นี้น่าจะถือเอาความเหมาะสม และประโยชน์ของทางราชการเป็นข้อกำหนดในการพิจารณา โดยไม่ต้องคำนึงว่าบุคคลที่อยู่ในข่ายพิจารณาเป็นญาติมิตรของตนหรือไม่ (ธานินทร์ กรัยวิเชียร, 2510หน้า 43)  ดังนั้น ความจงใจที่จะให้ตำแหน่งหน้าที่แก่บุคคล   โดยคำนึงถึงประโยชน์ส่วนตนเป็นสำคัญกว่าประโยชน์ราชการจึงเข้าข่ายของการคอร์รัปชัน
ประโยชน์ส่วนตัว
                การเล่นพรรคเล่นพวกสืบเนื่องมาจากการคำนึงถึงประโยชน์ส่วนตน (personalism)    ซึ่งเป็นแบบแผนในสังคมอย่างหนึ่ง (ชุบ กาญจนประกร, 2514หน้า 5) เป็นระบบอุปถัมภ์ (patronage system) หรือระบบการแจกตำแหน่งให้แก่พรรคพวก (spoil system) คำว่า "ส่วนตัวมาจากความสัมพันธ์แบบปฐมภูมิ (primary relation) ซึ่งได้แก่ความสัมพันธ์แบบเครือญาติและเพื่อนฝูง (Gould & Kolb, 1965: p.493)  คำว่าระบบส่วนตัวมีความหมายถึง ระบบแห่งความสัมพันธ์ที่มีรากฐานมาจากความเป็นเครือญาติ ซึ่งระบบส่วนตัวนี้ก่อให้เกิดองค์การอรูปนัยอันเป็นรากฐานของระบบอุปถัมภ์ดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น หรือการให้ "ค่าน้ำร้อนน้ำชาหรือให้อภิสิทธิ์พิเศษโดยมีสิ่ง ตอบแทนหรืออื่นๆ เมื่อมีการใช้ระบบอุปถัมภ์อย่างกว้างขวางในวงราชการ การหารายได้ก็กลายเป็นเรื่องผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจ หรือการใช้ตำแหน่งข้าราชการเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว  เพื่อพรรคพวกและญาติพี่น้องมากขึ้น จุดมุ่งหมายของการปฏิบัติงานราชการจึงผันแปรไปจากเพื่อความผาสุกของประชาชนส่วนรวม เป็นเพื่อความผาสุกส่วนตัวหรือคณะเล็กๆ ทำให้คนบางคนพลอยมีตำแหน่งสูงขึ้น มีความมั่งคั่งขึ้นแต่งานราชการกลับทรุดลง
                ความหมายของระบบอุปถัมภ์นั้นกว้างมาก แต่ถ้าพิจารณาอย่างง่ายๆ ก็คือ การแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งหน้าที่ราชการด้วยเหตุผลและวิธีการอื่นๆ อันนอกเหนือไปจากหลักและวิธีการของระบบคุณวุฒิ (merit system) การใช้ระบบอุปถัมภ์  ในการแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการนั้นมักมีข้ออ้างว่า เป็นการแต่งตั้งเพื่อเป็นสินน้ำใจ เพื่อรักษาอำนาจในการปกครอง และเพื่อประโยชน์แก่การควบคุมนโยบาย         (ชุบ กาญจนประกร, 2514หน้า 113)  การใช้ระบบนี้ส่งผลในลักษณะบ่อนทำลาย เพราะเมื่อระบบอุปถัมภ์แผ่ขยายไป และมีการใช้ระบบนี้กันจนเกินขอบเขต จะมีผลกระทบกระเทือนถึงประสิทธิภาพของงานราชการ เนื่องจากการเลือกสรรบุคคลเข้ารับราชการตามระบบอุปถัมภ์เป็นการเลือกโดยใช้อารมณ์หรือความพอใจ โดยไม่คำนึงว่าบุคคลผู้เลือกสรรเข้ามานั้นเป็นผู้มีความรู้ความสามารถเหมาะสมหรือไม่ เพราะฉะนั้น ทั้งระบบเล่นพวก ระบบอุปถัมภ์ หรือระบบแจกตำแหน่งให้แก่พรรคพวก ล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่ส่วนรวมทั้งสิ้น เป็นลักษณะที่เจ้าพนักงานในตำแหน่งนั้นๆ ใช้อำนาจในทางที่ผิด    จึงน่าจะถือได้ว่าทั้งหมดนี้จัดอยู่ในเรื่องของการคอร์รัปชัน เพราะพฤติกรรมใดจะถือเป็นการคอร์รัปชันได้นั้น ย่อมเป็นพฤติกรรมที่ทำไปแล้วมีความเสียหายต่อผลประโยชน์ของรัฐ
                        ดังนั้น ในการพิจารณาเกี่ยวกับพฤติกรรมการคอร์รัปชัน จำเป็นต้องคำนึงถึงแบบแผนของค่านิยมในสังคมขณะนั้น และพิจารณาถึงพฤติกรรมนั้นว่าสร้างความเสียหายต่อผลประโยชน์ของรัฐหรือสังคมส่วนรวมหรือไม่ด้วย
พฤติการณ์การคอร์รัปชัน
                การใช้อำนาจในทางมิชอบ
ดังได้กล่าวแล้วว่าการคอร์รัปชัน  หมายถึงการที่ข้าราชการใช้อำนาจ ของตนไปในทางที่ผิดเพื่อให้ได้มาซึ่งรายได้พิเศษแห่งตน การเกิดการคอร์รัปชันนั้นส่วนหนึ่งเป็นเพราะ ข้าราชการได้รับเงินเดือนน้อยไม่เพียงพอกับค่าครองชีพ หรือมีความรู้สึกว่าตนได้รับเงินเดือนน้อย โดยการเปรียบเทียบกับบุคคลในสาขาอาชีพอื่น หรือโดยความโลภที่อยากจะมั่งคั่งร่ำรวยมากขึ้น จึงพยายามหาโอกาสที่จะใช้อำนาจของตนในทางที่ผิด โดยการรับสินบนเพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ให้ลุล่วงไป การคอร์รัปชันนั้นอาจจะเกิดขึ้นได้ทั้งทางฝ่ายประชาชนส่วนใหญ่และทางตัวข้าราชการ คือ จะเกิดขึ้นในสองฝ่ายด้วยกัน อันเป็นปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน (interaction) เช่น ประชาชนบางคนต้องการที่จะปฏิบัติตัวนอกกฎหมายก็ให้สินจ้างรางวัลแก่ข้าราชการ ฝ่ายข้าราชการก็ทำการคอร์รัปชัน โดยพยายามเบียดบังเอารายได้ของชาติไปเป็นรายได้ส่วนตัวเสียการคอร์รัปชันเป็นการใช้อำนาจตามอำเภอใจอย่างหนึ่งแต่การใช้อำนาจตามอำเภอใจนั้นมิใช่เป็นการคอร์รัปชันเสมอไป การใช้อำนาจตามอำเภอใจในทางที่ไม่ยุติธรรมเท่านั้น ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดการคอร์รัปชัน  ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า การคอร์รัปชันนั้นเกี่ยวข้องกับอำนาจในทางที่ผิด ลอร์ด แอ็คตัน (Lord Acton) กล่าวว่า "เมื่อมีอำนาจก็มักอยากจะใช้อำนาจไปในทางที่ผิด และเมื่อมีอำนาจมาก ก็ยิ่งใช้อำนาจไปในทางที่ผิดมากขึ้น (Power tends to corrupt, and absolute power corrupts absolutely)" (Acton, 1902: p.161) อำนาจเป็นส่วนประกอบสำคัญของการคอร์รัปชันอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะอำนาจที่เป็นทางการ และใช้ไปในทางที่หันเหจากจุดมุ่งหมายเดิมของผู้ยึดถืออำนาจ (Heidenheimer,1970: p.41)  ระบบการให้ค่าบริการในตัวเองแล้วไม่ใช่เป็นการคอร์รัปชัน  นอกจากว่าได้มีการให้กันโดยจงใจที่จะเป็นการให้สินบน ซึ่งมักจะตัดสินได้ยากเพราะเป็นส่วนที่ปกปิดกันเป็นความลับเสมอ
การทำฝืนความรู้สึก
การคอร์รัปชันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีฝ่ายริเริ่มการกระทำ กับมีฝ่ายตอบสนองการกระทำนั้น ลักษณะสำคัญของการคอร์รัปชันจึงอยู่ที่การปฏิสัมพันธ์ที่ต้องตีความระหว่าง  2 ฝ่าย  ในลักษณะเช่นนี้ การตัดสินใจในการกระทำการคอร์รัปชันจึงขึ้นอยู่กับการคาดการณ์ (expectation) ของทั้งสองฝ่าย ซึ่งเป็นความน่าจะเป็นเชิงอัตวิสัยของบุคคล (concept of subjective probability) (วารินทร์ วงศ์หาญเชาว์, 2518 หน้า 47) เนื่องจากการคอร์รัปชันเป็นเรื่องความรู้สึก ดังนั้นการกระทำที่ฝืนความรู้สึกของคน ทั่วไปจึงเป็นการคอร์รัปชันด้วย โดยปกติความรู้สึกดังกล่าวไม่อาจใช้กฎเกณฑ์ใดๆ มากำหนดได้แน่นอน แต่กระทำได้โดยการประเมินอัตราการฝืน  ความรู้สึกนั้นซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามความรู้สึกของสังคมในขณะนั้นๆ  เพราะฉะนั้นพฤติกรรมการคอร์รัปชันแต่ละครั้ง แม้จะมีรูปแบบเหมือนกัน แต่ก็อาจจะมีพื้นฐานมาจากความรู้สึกที่แตกต่างกันก็ได้ (วารินทร์ วงศ์หาญเชาว์, 2518หน้า 48)     
อย่างไรก็ตาม ตัวแปรที่น่าสนใจที่เป็นสาเหตุของการเกิดการคอร์รัปชันโดยทั่วไปนั้น อาจแบ่งออกเป็น ประเภทใหญ่ๆ คือ (1) ตัวแปรด้านตัวบุคคล (2) ตัวแปรด้านระบบราชการและสังคม และ (3) ตัวแปรที่เป็นองค์ประกอบภายนอกอื่นๆ เช่น เศรษฐกิจ สังคม การเมือง และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี  กล่าวอีกนัยหนึ่ง พฤติกรรมใดๆ ของบุคคลในสังคม รวมทั้งพฤติกรรมการคอร์รัปชันด้วย มักจะเกิดจากหลายปัจจัยผสมผสานกันของปัจจัยหลายอย่าง เช่น (1) ลักษณะนิสัยหรือhabit หรือบุคลิกภาพของบุคคลที่สั่ง   สมมา  (2) ปทัสถานทางสังคม (social norms) อันถูกถ่ายทอดกล่อมเกลาสืบต่อกันมาจากอดีต (3) ทัศนคติ หรือ attitude ของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลในขณะนั้น  และ (4) ความคาดการณ์ถึงสิ่งที่จะบังเกิดขึ้นจากการกระทำนั้น หรือ expectation (กระมล ทองธรรมชาติ และพรศักดิ์ ผ่องแผ้ว, 2541บทที่ 6) ตัวแปรทั้งหมดนี้พอที่จะจัด   อยู่ในขอบเขตของเรื่องทางเศรษฐกิจ เรื่องการเมือง และเรื่องสังคมได้ ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามสภาพการณ์ของแต่ละสังคม
มูลเหตุแห่งการคอร์รัปชัน
                จากแนวความคิด ทฤษฎี และผลการวิจัยของผู้ทรงคุณวุฒิและหน่วยงานจำนวนมากที่พอจะสรุปถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดการคอร์รัปชันได้ 2 ประการคือ สาเหตุเกิดขึ้นจากภายในตัวบุคคลของผู้กระทำ และจากสภาพแวดล้อมภายนอกหรือสิ่งแวดล้อม
                        ในด้านสาเหตุที่เกิดขึ้นจากภายในของผู้กระทำ สุธี อากาศฤกษ์ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการ ป..กล่าวถึงสาเหตุที่เกิดคอร์รัปชันว่า ทางด้านตัว     ผู้กระทำเองจะต้องไตร่ตรองหรือใคร่ครวญถึงองค์ประกอบต่างๆ 4 ประการคือ โอกาส  สิ่งจูงใจ  การเสี่ยงภัย และความซื่อสัตย์ (สุธี อากาศฤกษ์, 2524หน้า 6)
โอกาส โดยสัญชาตญาณของมนุษย์ทุกคนจะต้องมีความกลัวและความระแวงนานาประการ การกระทำใดก็ตามปกติจะไม่กระทำจนกว่าจะมั่นใจ หรือเชื่อใจว่ามีช่องว่างที่จะกระทำได้ ในกรณีคอร์รัปชันก็เช่นเดียวกัน ตามปกติจะไม่กระทำการคอร์รัปชันจนกว่าจะมีช่องโอกาสที่ตนเชื่อว่า เมื่อกระทำลงไปแล้วจะไม่ถูกจับได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากผู้กระทำอยู่ในตำแหน่ง ที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบซึ่งเปิดโอกาสให้คอร์รัปชันได้กว้างขวาง  ประกอบกับความง่ายที่จะทำ การคอร์รัปชันก็จะมีโอกาสได้มากขึ้น
สิ่งจูงใจ เมื่อมีโอกาสแล้วก็ต้องพิจารณาต่อไปว่ามีสิ่งจูงใจหรือไม่อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งขนาดของผลประโยชน์ที่จะได้รับ หรือขนาดของผลประโยชน์ที่จะสูญเสียไป เมื่อกระทำการคอร์รัปชัน
การเสี่ยงภัย  ต้องพิจารณาดูอีกต่อไปว่า หากกระทำไปแล้วผลที่ได้รับจะคุ้มค่าหรือไม่ หากกรณีถูกตรวจพบถูกจับได้
ความซื่อสัตย์  เป็นองค์ประกอบที่สำคัญ หากข้าราชการ พนักงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐมีความซื่อสัตย์แล้ว ถึงแม้จะมีโอกาสก็ย่อมจะไม่พึงปรารถนากระทำการคอร์รัปชันเป็นแน่ และนับว่าความซื่อสัตย์เป็นตัวสกัดกั้นกิเลสมิให้ปรารถนาผลประโยชน์อื่นๆ ที่มิชอบ สำหรับผู้ที่ไม่ซื่อสัตย์สุจริตแล้วเป็นเรื่องที่ป้องกันและปราบปรามได้ยาก
                ส่วนในด้านสาเหตุมาจากภายนอกหรือสิ่งแวดล้อม  มีความสัมพันธ์อย่าง ใกล้ชิดกับมูลเหตุภายใน ทั้งเรื่องโอกาส  สิ่งจูงใจ และความซื่อสัตย์สุจริต โดยอาจจะสรุปได้ 8 ประการ  ดังนี้ (กมล สกลเดชา, 2525: น้า 32)
ด้านเศรษฐกิจและการครองชีพ                                                                       
ด้านการเมือง
ด้านสังคม            
การบริหารงานของรัฐที่ขาดประสิทธิภาพ
จากกฎหมายหรือระเบียบมีช่องว่างหรือข้อบกพร่อง
จากการมีตำแหน่งหน้าที่ที่เอื้ออำนวยต่อการกระทำผิด
จากการตกอยู่ภายใต้อิทธิพลภาวะสิ่งแวดล้อมและอิทธิพลของผู้ทุจริต
จากหลายสาเหตุผสมกัน
มูลเหตุทางด้านเศรษฐกิจและการครองชีพ
                นักวิชาการจำนวนมากมีความเห็นว่า การคอร์รัปชันนั้นสืบเนื่องมาจาก   รายได้ไม่ได้สัดส่วนกับการครองชีพ รายได้เป็นมูลเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาคอร์รัปชันสาเหตุอย่างหนึ่ง   เนื่องจากสภาพสังคมไทยทุกสมัยมีปัญหาด้านความแตกต่างในฐานะของบุคคล การดิ้นรนต่อสู้จึงไม่มีขอบเขตว่าสุจริตหรือทุจริต รายรับของ       ข้าราชการไทยโดยเฉพาะข้าราชการระดับล่างต่ำมาก ขณะที่ค่าครองชีพสูงขึ้นเรื่อยๆ  ข้าราชการต้องต่อสู้ดิ้นรน เพื่อหารายได้เลี้ยงครอบครัวประกอบกับนักธุรกิจมักตัดความรำคาญจนกลายเป็นธรรมเนียมว่าเวลาไปติดต่อ กับราชการต้องมีสินบนไปให้  การเกิดโครงการใหญ่ๆ ของรัฐจำนวนมากเป็นการทำให้ข้าราชการและพ่อค้านักธุรกิจร่วมมือกันหาผลประโยชน์ รวมทั้งเมื่อจำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้นแต่ทรัพยากรของชาติมีจำกัด จึงได้มีบุคคลวิ่งเต้นกันมาก และก่อให้เกิดการทุจริตขึ้นในวงราชการ (สภาวิจัยแห่งชาติ, 2509หน้า 28-31)
                อย่างไรก็ตาม ได้มีนักวิชาการหลายท่านไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ โดยเห็นว่าไม่เป็นจริงเสมอไป กล่าวคือ ยังมีผู้ที่ยากจนอีกจำนวนไม่น้อยที่บำเพ็ญตนน่านับถือ  แม้จะยากจนก็อยู่ตามประสายากจน ตรงกันข้ามกับคนมั่งมีบางคนกลับทำการคอร์รัปชันอย่างปราศจากความอับอาย (ธานินทร์ กรัยวิเชียร, 2510หน้า 4)
มูลเหตุทางด้านการเมือง
                สภาวิจัยแห่งชาติได้ทำการวิจัยและเห็นว่า การเมืองเป็นสาเหตุหนึ่งของการคอร์รัปชัน (สภาวิจัยแห่งชาติ, 2509หน้า 28-31)  ดังนี้
การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.. 2475 ทำให้เกิดนักการเมือง  นักการเมืองหลายคนใช้อำนาจในทางแสวงหาประโยชน์ก่อให้เกิดการทุจริตในวงราชการอย่างกว้างขวาง                
ระบบพรรคการเมืองทำให้เกิดการรวมกลุ่มกันแสวงหาผลประโยชน์ กลายเป็นการหากินแบบเป็นกลุ่ม 
มีการประมูลตัวนักการเมืองพรรคอื่นที่ทำตัวดี หรือเป็นนักพูด จนมีคำพูดเปรียบเทียบในครั้งหนึ่งว่าถ้ามีเงินก็คงซื้อนักการเมืองได้เกือบทั้งสภา และสามารถเป็นรัฐบาลได้ตลอดกาล 
                เกริกไกร จิระแพทย์ กล่าวถึงการเมืองที่มีผลต่อของการคอร์รัปชันไว้ว่า (เกริกไกร จิระแพทย์, 2520 : หน้า 63-65) ประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลไม่ได้เป็นไปตามกฎเกณฑ์การได้มาซึ่งอำนาจ ไม่ได้เป็นไปตามทำนองคลองธรรม เรียกว่าการเมืองไม่มีเสถียรภาพ ทำให้นักการเมืองเกิดทัศนคติต้องคอร์รัปชันเพื่อถอนทุนค่าใช้จ่ายเลือกตั้ง
การไม่มีเงินช่วยเหลือสนับสนุนการเลือกตั้ง ทำให้นักการเมืองที่ซื่อสัตย์สุจริตต้องเลือกที่จะกลายเป็นคนยากจนหรือทิ้งเวทีการเมืองไป แต่นักการเมืองที่ไม่สุจริตก็เข้าหาการคอร์รัปชัน และเนื่องจากต้องใช้เงินหาเสียงมากผู้สมัครรับเลือกตั้งจึงต้องหาความช่วยเหลือจากภายนอก ซึ่งการที่กลุ่มต่างๆ ที่มีเงินมากหาได้ยาก จึงเปิดโอกาสให้นักธุรกิจที่ร่ำรวยเข้ามาทำหน้าที่แทนกลุ่มต่างๆ นักธุรกิจชั้นสูงสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริหารประเทศและ ผู้แทนราษฎร โดยอาศัยเงินเป็นสินน้ำใจมากที่สุด
มูลเหตุจากสภาพแวดล้อมทางสังคม
การพิจารณามูลเหตุของการคอร์รัปชัน จะต้องมีการนำธรรมเนียมของสังคมมาพิจารณาด้วย เช่น มีการเปรียบเทียบว่า ในแอฟริกามีการคอร์รัปชันมากกว่าเดนมาร์กก็เพราะชาวแอฟริกาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เห็นการคอร์รัปชัน เป็นสิ่งธรรมดาที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันอย่างหนึ่ง ไม่ถือว่าการคอร์รัปชันเป็นสิ่งชั่วร้าย ในปี 2514 รัฐมนตรีของมาเลเซียคนหนึ่งถูกจับได้ว่ารับสินบน แทนที่ประชาชนจะรู้สึกรังเกียจกลับแสดงความสงสาร และเห็นใจที่รัฐมนตรีผู้นั้นทำได้ไม่แนบเนียนพอ (เกริกไกร จิระแพทย์, 2520 : หน้า 6-67)  เป็นต้น
            สังคมไทยแต่เดิมมีคุณลักษณะ ที่แสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อการทุจริตใน    วงราชการอย่างมาก แต่ในปัจจุบันความนิยมในวัตถุมีอิทธิพลสูงมากขึ้น คุณธรรมของคนลดน้อยลงตามลำดับจากจิตใจประชาชน  มีการเอาแบบอย่างกันในทางสังคมที่กินอยู่ฟุ่มเฟือย  และไม่ถือว่าการทุจริตคอร์รัปชันเป็นเรื่องที่น่าอับอายหรือเสียหาย  ถ้ามีเงินสังคมไทยทุกแห่งถือว่าเงินเท่านั้นสำคัญที่สุด ในสังคมยุคนี้ยิ่งโกงยิ่งมีเกียรติมีสมัครพรรคพวกมาก (สภาวิจัยแห่งชาติ, 2509หน้า 41)  และเนื่องจากสังคมไทยยังยังฝังแน่นอยู่ในระบบ "เจ้าขุนมูลนายราษฎรกลัวเกรง  ข้าราชการและผู้มียศศักดิ์สูงแม้ราษฎรจะรู้ว่าข้าราชการคนนี้ทุจริตก็ยังเคารพ   กราบไหว้อยู่เช่นเดิม (สภาวิจัยแห่งชาติ, 2509หน้า 42)  นอกจากนี้การที่ประชาชนขาดความรอบรู้ ไม่ทราบวิธีที่จะติดต่อเจ้าพนักงาน จึงเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ถือโอกาสจากความโง่เขลาเบาปัญญาเรียกเอาเงินทอง อยู่เสมอ (เกริกไกร จิระแพทย์, 2520: หน้า 67)    และการกระทบระหว่างขนบธรรมเนียมดั้งเดิมกับวิธีการปกครองแบบใหม่ก็ทำให้เกิดการคอร์รัปชันได้ โดยประเพณีของไทยที่ต้องให้ของขวัญแก่ผู้มีบุญคุณ หรือทำประโยชน์ให้ก็นำไปสู่การคอร์รัปชัน แต่ก่อนมีการให้ของขวัญอย่างเดียว แต่ปัจจุบันเมื่อเศรษฐกิจเจริญรุ่งเรืองขึ้นก็มีการให้เงินด้วย เคยมีการทำการสำรวจความคิดเห็นเรื่อง การรับของสมนาคุณที่ตนทำประโยชน์ให้จากการทำตามหน้าที่ตามปกติ ผลออกมาว่าคนส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นของธรรมดาและไม่ถือว่าผิด และประชาชนให้การยอมรับในพฤติการณ์นี้มากกว่าข้าราชการ   (ทินพันธุ์ นาคะตะ, 2520 หน้า 360)
มูลเหตุจากการบริหารงานของรัฐที่ขาดประสิทธิภาพ
                สุธี อากาศฤกษ์    กล่าวว่า  การบริหารงานที่ขาดประสิทธิภาพหมายถึงการปกครองบังคับบัญชาที่หละหลวมผู้ใต้ปกครองและผู้บังคับบัญชาไม่สุจริต ซึ่งเห็นได้บ่อยๆ การไม่กวดขันควบคุมทางระเบียบวินัยเกือบจะเป็นประเพณีนิยมของบ้านเมืองไป ตัวอย่าง เช่น จากการที่ให้เจ้าหน้าที่ ป..นั่งรถสิบล้อ จำนวน คันผ่านด่านต่างๆ เข้ามาในกรุงเทพมหานครได้ถูกเรียกหรือเสียเงินแก่เจ้าหน้าที่ด่านหลายสังกัด เป็นเงินถึง 11,090 บาท และเสียเวลาจากปกติ ชั่วโมงเป็น 16 ชั่วโมง  การคอร์รัปชันเช่นนี้หมายถึงการไม่ควบคุมดูแล (สุธี อากาศฤกษ์, 2524 : หน้า 65)  ความบกพร่องในการบริหารเปิดโอกาสให้แก่การคอร์รัปชัน และบางครั้งการบริหารงานอย่างเป็นทางการมากเกินไปก็ทำการคอร์รัปชันมีมากขึ้นด้วย (เกริกไกร   จิระแพทย์, 2520หน้า 65)
มูลเหตุจากกฎหมายหรือระเบียบมีช่องว่างหรือมีข้อบกพร่อง
                        ปัญหาสำคัญของกฎหมายก็คือ คติทางวิธีพิจารณาความที่ว่า "บุคคลยังบริสุทธิ์อยู่จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่ามีความผิดจริงแต่การคอร์รัปชันมิได้เป็นอาชญากรรม ที่เห็นได้โจ่งแจ้ง หาพยานหลักฐานได้ยาก ยิ่งกว่านั้น การคอร์รัปชันยังก่อประโยชน์ให้คู่กรณีทั้งสองฝ่าย จึงไม่ค่อยมีฝ่ายใดยอมเปิดเผยออกมา และถ้าหากมีฝ่ายใดปรารถนาจะเปิดเผยความจริงในเรื่องนี้ กฎหมายหมิ่นประมาทก็ยับยั้งเอาไว้        ทั้งกฎหมายของทุกประเทศเอาผิดกับบุคคลผู้ให้สินบนเท่าๆ กับผู้รับสินบนจึงไม่ค่อยมีผู้ให้สินบนรายใดกล้าดำเนินคดีกับผู้รับสินบนเลย ปัญหาอีกประการหนึ่งก็คือ     ถ้ากฎหมายออกมาตรงกันข้ามกับ ความพอใจของคนส่วนใหญ่ในสังคมหรือทำให้    ผู้ฝ่าฝืนกฎหมายนั้นได้เปรียบก็เป็นที่มาของคอร์รัปชันเช่นกัน เป็นต้นว่า กฎหมายกับการพนัน โสเภณี ยาเสพติด ที่ดิน ป่าไม้ สิ่งแวดล้อม เป็นต้น (เกริกไกร จิระแพทย์, 2520หน้า 68-69)
 มูลเหตุจากการมีตำแหน่งหน้าที่ที่เอื้ออำนวยต่อการกระทำผิด
                ถ้าปราศจากอำนาจตามตำแหน่งหน้าที่ราชการแล้ว การคอร์รัปชัน ก็จะเกิดขึ้นได้ยาก แม้จะมีสภาพแวดล้อมประการอื่นประกอบอยู่ด้วยก็ตาม ส่วนราชการใดจะมีการคอร์รัปชันหรือไม่ขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของผู้นำ และความยึดมั่นในหลักจริยธรรม หลายกรณีเกิดขึ้นเพราะผู้นำอ่อนแอ การคอร์รัปชันพบมากในส่วนราชการที่เจ้าหน้าที่ระดับสูง ไม่สามารถควบคุมเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยให้อดทนต่อความเย้ายวนของสินบนได้  ยิ่งไปกว่านั้นก็คือเจ้าหน้าที่ระดับสูงเหล่านั้นก็คอร์รัปชันเสียเอง  (เกริกไกร จิระแพทย์, หน้า 69) เจ้าพนักงานผู้มีตำแหน่งมีอำนาจหน้าที่ในการอนุมัติอนุญาตให้สัมปทานหรือคำอนุมัติอนุญาตประกอบการต่างๆ ตำแหน่งหน้าที่ในลักษณะนี้เอื้ออำนวยต่อการกระทำผิด เพราะเป็นไปในลักษณะที่เป็นภาษาพูดว่า "เกือบจะว่าไม่ต้องทำอะไร ปลาว่ายเข้ามาติดข่ายเองหมายความว่ากักเรื่องไว้เฉยๆ เดี๋ยวก็วิ่งมาหาเอง แล้วก็ได้มาอย่างนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าการมีตำแหน่งหน้าที่  ที่เอื้ออำนวยต่อการกระทำผิดจำต้องเป็นตำแหน่งใหญ่ๆ ตำแหน่งเล็กๆ ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งสูงเสมอไป (สุธี อากาศฤกษ์, 2524หน้า 10)
มูลเหตุจากการตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสถานการณ์
                สุธี อากาศฤกษ์ สันนิษฐานว่าการตกอยู่ในภาวะแวดล้อมและอิทธิพลของ   ผู้ทุจริตมีทางเป็นไปได้ที่ผู้นั้นจะต้องทำทุจริตด้วย เพราะว่ามีตัวอย่างบุคคลที่มาหาในลักษณะเดือดร้อนมีมากราย เพราะถูกตั้งกรรมการสอบสวนให้ออกจากราชการ   มีข้าราชการจำนวนไม่น้อยที่บ่นในที่ลับและที่เปิดเผยว่า ตนเองไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับการคอร์รัปชันใดๆ เลย แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อคอร์รัปชันเป็นเรื่องของ "ระบบ(เกริกศักดิ์ กองศิลป์, 2515น้า 26-27)
                นายกรัฐมนตรีเนห์รูแห่งอินเดียเคยกล่าวไว้ว่า การที่ผู้นำระดับสูงเที่ยวป่าวประกาศว่า ทุกๆ คนต่างทำการคอร์รัปชันกันทั้งนั้น เป็นการสร้างบรรยากาศ   ที่เอื้ออำนวยต่อการคอร์รัปชันขึ้นมาในสังคม เพราะข้าราชการชั้นผู้น้อยก็จะคิดว่า หากคนอื่นทั่วไปต่างทำการคอร์รัปชันกันหมดแล้ว "ทำไมตนจึงจะไม่ทำเหมือนกับเขาบ้างเล่า(อุทัย หิรัญโต, 2512น้า 43-44)
มูลเหตุอื่นๆ
นอกจากที่กล่าวมาแล้วยังมีมูลเหตุสำคัญ ของการคอร์รัปชันอีกนานัปการ เช่น อิทธิพลของภรรยาหรือผู้หญิง กรณีนี้ อุทัย หิรัญโต กล่าวไว้ว่า ภรรยามีอิทธิพล อย่างสำคัญในการก่อให้เกิดการคอร์รัปชันในวงราชการ  ไม่น้อยกว่าผู้คอร์รัปชันเอง ภรรยาข้าราชการเป็นตัวการสำคัญที่สนับสนุน และส่งเสริมให้สามีของตนทำการ คอร์รัปชันด้วยวัตถุประสงค์ ประการคือ    ความมั่งคั่งสมบูรณ์และเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจภายในครอบครัว จุดเริ่มต้นที่ทำให้ภรรยาเข้ามามีส่วนในการคอร์รัปชัน เพราะเหตุภรรยาเป็นผู้ใกล้ชิดกับสามี ผู้ใช้อำนาจหน้าที่ และอำนวยประโยชน์ให้แก่ ผู้อื่นมากที่สุด เหตุนี้เองที่ผู้แสวงหาประโยชน์จากข้าราชการจึงชอบที่จะเข้ามาหา "คุณนายหรือเรียกว่า "เข้าหลังบ้านและโดยเฉพาะคนที่กลัวภรรยาหรือภรรยา  เข้ามามีบทบาทในหน้าที่การงานของสามี ในบางกรณีสามีอาจจะรังเกียจคอร์รัปชันเพราะเห็นเป็นสิ่งชั่วร้ายและกลัวความผิด แต่แล้วจำใจคอร์รัปชันเพราะกลัวภรรยา จะไม่พอใจและทนอิทธิพลต่อการรบเร้าของภรรยาไม่ไหว (อุทัย หิรัญโต, 2512น้า 43-44)
 สาเหตุอีกประการหนึ่งที่ทำให้เกิดการคอร์รัปชันของข้าราชการก็คือการพนัน ชูเชิด รักตะบุตร ผู้พิพากษาศาลฎีกามองว่า  การพนันเป็นสาเหตุหนึ่งของปัญหาอาชญากรรมและการคอร์รัปชันจากประสบการณ์การปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้พิพากษาหัวหน้าศาลที่จะต้องรับผิดชอบในปัญหาการเงินของศาล ต้องใช้ความระมัดระวังและสังเกตเจ้าหน้าที่การเงินและจากศาลชอบเล่นการพนันหรือไม่ หากชอบเล่นการพนันก็ต้องระมัดระวังให้ดี เพราะอาจจะต้องมารับผิดชอบชดใช้เงินหลวงร่วมกับเจ้าหน้าที่ก็ได้ (สนทนาปัญหาบ้านเมือง, 2524)
ปัญหาเรื้อรัง
                การคอร์รัปชันเป็นปัญหาสังคมที่เรื้อรังของไทย โดยเฉพาะการที่  ข้าราชการแสวงหาประโยชน์โดยอาศัยตำแหน่งและหน้าที่เบียดบังเรียกร้องเอาทรัพย์ หรือยักยอกทรัพย์ของรัฐและประชาชนไปเป็นของตนโดยมิชอบธรรมรวมถึงการฉ้อโกงโดยวิธีการต่างๆ อย่างสลับซับซ้อน และพลิกแพลงวิธีการใหม่ๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
                การคอร์รัปชัน มิใช่เพียงแต่จะดึงความเจริญก้าวหน้าของประเทศ  ให้ล่าช้าลงเท่านั้น  แต่ยังทำให้รัฐบาลประสบปัญหาด้านความชอบธรรม (legitimacy) ทางการเมืองการปกครอง ทำให้เกิดความยากลำบากที่จะขอความร่วมมือจากประชาชนเพื่อสนับสนุนฐานะและบทบาทของรัฐบาลนั้นๆ ด้วย นอกจากมีลักษณะร้ายแรงใน ตัวเองแล้วการคอร์รัปชันยังเป็นปัญหาที่ยากแก่การแก้ไขและการป้องกันเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพราะส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการสมยอมระหว่างคู่กรณีทั้งสองฝ่าย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในทางการเมืองและการบริหารประเทศ ได้อาศัยอำนาจและอภิสิทธิ์แสวงผลประโยชน์ในทางการเมืองและการบริหารประเทศได้อาศัยอำนาจและอภิสิทธิ์แสวงผลประโยชน์จนมีฐานะร่ำรวยมหาศาล ส่วนข้าราชการชั้น   ผู้น้อยก็คอร์รัปชันกันอย่างกว้างขวาง ตามโอกาสและช่องทางที่ตนมีอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ โดยมักจะพบว่า "ผู้ใหญ่กินใหญ่ ผู้น้อยกินน้อย" เป็นที่ประจักษ์เรื่อยมา
                ประเทศไทยมีมาตรการควบคุมพฤติกรรมและความประพฤติของข้าราชการไว้หลายลักษณะด้วยกันที่จะป้องกันมิให้ข้าราชการการคอร์รัปชัน แต่เป็นที่น่าสังเกตว่ามาตรการดังกล่าวมิสามารถยับยั้ง หรือเป็นเครื่องสกัดกั้นมิให้ข้าราชการล่วงละเมิดในความประพฤติที่เกี่ยวกับความซื่อสัตย์สุจริตได้อย่างแท้จริง ยิ่งกว่านั้น ผู้บังคับบัญชาซึ่งได้จัดไว้ตามลำดับชั้นของระบบบริหาร ซึ่งมีความมุ่งหมายที่จะให้  ผู้บังคับบัญชาคอยสอดส่องดูแลข้าราชการในระดับรองๆ ลงไปตามลำดับด้วยตามระบบ   ขั้นบันไดเพื่อให้การปฏิบัติราชการดำเนินไปด้วยความเรียบร้อยและรัดกุม ก็ไม่ได้ผลเท่าที่ควรเพราะผู้บังคับบัญชาบางคนขาดความสำนึกในหน้าที่และยังทำการคอร์รัปชันเสียเองด้วย
                การคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นในวงราชการ   มีส่วนสืบเนื่องมาจากค่านิยมของ     ผู้ปกครองอันมีผลสืบเนื่องมาจากระบบศักดินาของไทยในอดีต ผู้ปกครองเหล่านี้มิได้มีเงินเดือนกิน รัฐบาลเก็บภาษีอากรทั้งปวงเข้าพระคลังมหาสมบัติ แล้วแบ่งปันให้ เจ้านายชั้นสูง การที่พวกข้าราชการทั้งหลายต้องหากินโดยเรียกค่าธรรมเนียมกินนี้ได้กลายมาเป็นการทุจริตหรือการคอร์รัปชัน เป็นมรดกตกทอดมาทางประวัติศาสตร์  เป็นการเบียดบังเอาประโยชน์โดยอาศัยอำนาจหน้าที่ราชการ" (มานิต มานิตเจริญ, 2507หน้า 306) ส่งผลทำให้ความซื่อตรงเสื่อมทรามลง (ชัยอนันต์ สมุทวนิช, 2519หน้า 1)
                การคอร์รัปชันในวงราชการนั้น มิได้หมายถึงเพียงการยักยอกโกงกินเงินทองหรือทรัพย์สินผลประโยชน์ต่างๆ เท่านั้น หากแต่หมายรวมถึงการกระทำต่างๆ ที่เอารัดเอาเปรียบ "ผู้ว่าจ้าง"  คือประชาชนหรือรัฐบาลในทุกกรณี นับแต่การโกงเวลาราชการไปทำมาหากินส่วนตัว หรือการหนีราชการไปเที่ยว  การนั่งแช่อยู่ในร้านอาหารกลางวันล่วงเลยไปจนถึงบ่ายถึงเย็น เหล่านี้จัดเป็นการคอร์รัปชันด้วยกันทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการเอาเวลาราชการไปทำงานส่วนตัว การเรียกร้องค่าใช้จ่ายที่นอกเหนือจากราชการกำหนดจริง การประมูลซื้อของทั้งส่วนจำเป็นและเกินจำเป็นให้เกินราคาท้องตลาด  การคำนวณรายจ่ายแต่ละรายการของส่วนราชการหรือส่วนงานที่เผื่อไว้มาก  การแอบเอาสิ่งพิมพ์ของราชการไปใช้ส่วนตัว การเรียกค่าใบอนุญาต การประมูลคือค่าลายเซ็น ตลอดถึงการเรียกร้องเปอร์เซ็นต์ในการจ่ายเงินก้อนแก่บริษัทหรืออื่นใดอีก ในทางกฎหมายถือว่าการคอร์รัปชันหมายถึงการทุจริตต่อหน้าที่ ซึ่งได้แก่การกระทำซึ่งแสวงหาประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบด้วยกฎหมายกล่าวโดยทั่วไป การคอร์รัปชันมีสาเหตุสำคัญ (generalization) ดังต่อไปนี้ (พรศักดิ์ ผ่องแผ้ว, 2539)
                .  ผลพวงจากอดีต
                ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์และสังคมของรัฐไทย อันเป็นสิ่งแวดล้อมมหภาคของข้าราชการ ได้หล่อหลอมข้าราชการไทยให้เป็นผู้ปกครอง เป็นเจ้าขุนมูลนาย เป็นผู้ทำการแทนพระเจ้าแผ่นดิน ทำการต่างพระเนตรพระกรรณ เสริมสร้างความเข้มแข็งขึ้นโดยระบบศักดินาและระบบไพร่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ความสำนึกในฐานะ"ผู้ปกครองได้ฝังตัวอยู่ในบรรดาข้าราชการไทยทั้งหลายอย่างแน่นแฟ้น อุดมการณ์ของข้าราชการคือทำเพื่อกษัตริย์    กษัตริย์คือความถูกต้อง ความสมบูรณ์ของ "เทพสมมุติคือ ความดีงามที่สมบูรณ์ที่ข้าราชการยึดเป็นอุดมการณ์  เป็นมาตรฐานศีลธรรมของรัฐ แต่เมื่อ "รัฐกษัตริย์สลายลง ด้วยการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.. 2475   รัฐได้มุ่งสร้าง "รัฐธรรมนูญนิยม"  เป็นอุดมการณ์ชาติ การเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญได้เกิดขึ้นในสมัยหลัง พ.. 2500 โดยเฉพาะตั้งแต่กรณีเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เป็นต้นมา ได้มีความพยายามที่จะหล่อหลอมความสำนึกข้าราชการให้เป็นผู้รับใช้ประชาชนแต่ขาดอุดมการณ์ที่สำคัญของรัฐเป็นตัวชี้นำ "ข้าราชการได้เป็นรัฐเสียเอง"  แต่เมื่อมีแนวคิดใหม่ว่า "นักการเมืองต่างหากที่เป็นรัฐอย่างไรก็ตาม นักการเมืองก็ไม่สามารถทำหน้าที่เป็นตัวชี้นำในการสร้างอุดมการณ์ให้แก่ข้าราชการได้เช่นกัน เพราะไม่เป็นที่ยอมรับของข้าราชการ
                .  การกล่อมเกลาทางสังคมและวัฒนธรรมข้าราชการ
การคอร์รัปชันมีสองลักษณะ คือ "การฉ้อราษฎร์หมายถึงการแอบอ้างเอาประโยชน์จากราษฎร หรือการโกงเงินของประชาชน และ "การบังหลวงหมายถึงการกระทำด้วยประการใดๆ ของข้าราชการที่เป็นการนำเงินหรือประโยชน์ของราชการไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวเรียกกันง่ายๆ ว่า โกงเงินหลวง หรือนำของหลวงมาเป็นสมบัติของตนเอง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการกระทำโดยการปลอมแปลงเอกสารของการใช้เงินเช่นการซื้อของอาจจะซื้อราคาหนึ่ง แต่ออกใบเสร็จรับเงินอีกราคาหนึ่ง ซึ่งสูงกว่าที่จ่ายจริง เป็นต้น
                การกินสินบนต่างกับกรณีคอร์รัปชัน กล่าวคือ ในกรณีฉ้อราษฎร์นั้นเป็นกรณีเฉพาะที่เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องปฏิบัติ หรือต้องให้บริการราษฎรอยู่แล้ว แต่เจ้าหน้าที่ต้องการหาผลประโยชน์ จึงเรียกร้องค่าตอบแทน โดยอาจอยู่ในรูปของเงินที่อ้างว่าเป็นค่าธรรมเนียม หรือค่าวิ่งเต้นแล้วแต่กรณี ส่วนเรื่องการกินสินบนนั้นเป็น       ค่าตอบแทนหรือค่าจ้างที่ประชาชนให้เจ้าหน้าที่ทำการ หรืองดเว้นการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ชอบด้วยระเบียบของทางราชการ