“ปัญหาความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมทางสังคม”
นิยาม/ความสำคัญ
- ปัญหาความเหลื่อมล้ำเป็นปัญหาสำคัญที่ควรได้รับการแก้ไขโดยด่วนและสามารถ
เห็นได้อย่างชัดเจนในสังคมปัจจุบัน กล่าวคือมีการส่งผลกระทบต่อกลุ่มคนจำนวนหนึ่งทำให้พวกเขาได้รับความเดือด
ร้อนเนื่องจากความไม่เท่าเทียมทางสังคมขาดโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรที่มี อยู่อย่างจำกัดและขาดโอกาสในการเข้าถึงบริการพื้นฐานที่สมควรได้รับ
- พ.ศ.2550สำนักงานสถิติแห่งชาติสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับความมั่งคั่ง (Wealth) ของครัวเรือนไทยเป็นครั้งแรก โดยครอบคลุมเรื่องการเป็นเจ้าของที่ดิน
บ้านรถและทรัพย์สินทางการเงินอื่นๆ ร้อยละ69ของทรัพย์สินทั้งประเทศอยู่ในความครอบครองของครัวเรือนที่รวยที่สุดซึ่งมีเพียงร้อยละ20
ของทั้งหมดเท่านั้นขณะที่ร้อยละ 20ซึ่งเป็นครัวเรือนที่ยากจนที่สุดมีทรัพย์สินรวมกันเพียงร้อยละ
1 นั่นคือห่างกันถึง 69 เท่า
สาเหตุและผลที่ตามมา
- สาเหตุเกิดจากผลพวงของแบบแผนการพัฒนาเศรษฐกิจลักษณะเฉพาะเองไทยที่มุ่งเน้น
การพัฒนาอุตสาหกรรมส่งออกละเลยตลาดภายใน เน้นใช้แรงงานทักษะต่ำ ทอดทิ้งการพัฒนาเทคโนโลยีและการปฏิรูปที่ดินที่ไม่เคยมีนโยบายกระจายรายได้
การปกครองของรัฐบาลมีแนวโน้มเป็นรัฐรวมศูนย์อำนาจ ปิดกันขบวนการทางสังคมสู่รัฐสวัสดิการ
- ผลที่ตามมาก็คือเกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจการกระจายรายได้ที่ไม่เป็น
ธรรม ชุมชนอ่อนแอเพราะมีการละทิ้งบ้านเกิดแรงงานหลักของครัวเรือนชนบทหลั่งไหล เข้าสู่โรงงาน
การเข้าไม่ถึงบริการขั้นพื้นฐานจากรัฐ ปัญหาสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมจากอุตสาหกรรมการผลิตที่ตอบสนองความต้องการภาย
นอกมากว่าภายใน ศีลธรรมจริยธรรมถูกละเลย ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ลดลงและเกิดปัญหาด้านสุขภาพอนามัย
ค่านิยม/อุดมการณ์ที่เกี่ยวข้อง
-
เนื่องจากการพัฒนาที่ตามกระแสหลักที่เปลี่ยนจากสังคมเกษตรเป็นสังคม
อุตสาหกรรมที่เน้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจึงก่อก่อให้เกิดพฤติกรรม “บริโภคนิยม” บุคคลในสังคมในแต่ละระดับต่างก็ติดอยู่ในวังวนของการบริโภควัตถุมีความรู้สึกว่าตนเองมีพร่องอยู่ตลอดเวลา
ผู้ได้ประโยชน์และผู้เสียประโยชน์
- กลุ่มผู้ได้ประโยชน์ต่างก็เป็นชนชั้นนายทุนที่เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตที่
ได้ครอบครองความมั่งคั่งจากการค้าขายเป็นที่ระบบทุนนิยมเปิดโอกาสให้มีการ
แข่งขันอย่างเสรีภายใต้กลไกตลาด
ซึ่งอาจฟังดูดีแต่การแข่งขันเสรีแบบทุนนิยมผู้ที่มีปัจจัยการผลิตมากกว่าจะ อยู่รอด
จนกลายเป็นการผูกขาดทางการค้าและส่งผลให้มีรายได้เพิ่มขึ้น กลุ่มนี้จะเป็นชนชั้นผู้นำซึ่งมีอำนาจทางการต่อรองมากที่สุดในสังคม
- กลุ่มผู้เสียประโยชน์เป็นผู้ที่ไม่ได้ครอบครองปัจจัยการผลิตหรือเป็นชนชั้น
แรงงานที่ถูกครอบงำโดยนายจ้างที่ขูดรีดผลประโยชน์ ในกลุ่มนี้ต่างมีความจำเป็นจะต้องบริโภคสินค้าและบริการจากกลุ่มที่เป็นเจ้า
ของปัจจัยการผลิตและมีอำนาจต่อรองทางสังคมได้น้อย
มาตราการจัดการปัญหา
- จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์การพัฒนาให้มีความสมดุลย์มากขึ้นกว่าเดิม
กล่าวคือให้ความสำคัญพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและสังคมไปพร้อมกัน
- มีการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจที่เหมาะสม
มีการปฏิรูประบบภาษีในอัตราก้าวหน้าเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำ เช่น
การกำหนดเพดานการถือครองที่ดิน การออกแบบภาษีทรัพย์สินเพื่อเพิ่มรายได้ให้รัฐบาลท้องถิ่น
เป็นต้น
- ในด้านการปกครองต้องเน้นให้ประชาชนปกครองตนเองส่งเสริมให้มีการกระจายอำนาจสู่ชุมชนท้องถิ่นอย่างจริงจัง
- ในด้านสวัสดิการและการบริการพื้นฐานที่จำเป็นจะต้องเป็นไปอย่างครอบคลุมและ
ทั่วถึง พัฒนาคุณภาพและการจัดสรรให้ดีขึ้น ควรส่งเสริมให้มีเงินออมตั้งแต่วัยทำงานเพื่อการใช้ในวัยชราภาพ
การติดตามผลการจัดการปัญหา
-
จะต้องใช้นโยบายติดตามการทำงานที่เป็นไปอย่างต่อเนื่องจริงจังและเร่งด่วน
มีการตรวจสอบทั้งในส่วนภาครัฐและเอกชนเพื่อให้การจัดการแก้ไขปัญหาเป็นไป
อย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ จะต้องเน้นย้ำให้มีการปฏิบัติตามมาตราการจัดการกับปัญหาความเหลื่อมล้ำเพื่อให้ความเท่าเทียมเกิดขึ้นได้มากที่สุด
การเฝ้าระวัง
- ต้องมีการป้องกันไม่เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมนี้ขึ้น
เช่น การปลูกฝังให้เยาวชนไม่แบ่งแยกชนชั้นฐานะแต่ต้องเห็นคุณค่าศักดิ์ศรีความ เป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน
- ต้องมีการตรวจสอบสภาวะอันนำไปสู่การเกิดปัญหาเดิมเพื่อจะได้สามารถแก้ไขได้ตั้งแต่แรกเริ่ม
เช่น ทำการสำรวจเป็นประจำทุกปีอย่างสม่ำเสมอเพื่อจะได้หาทางรับมือได้ทันถ่วงที
- ต้องมีการเตรียมการจัดการการรับมือ
เปลี่ยนแปลงการแก้ไขจัดการให้สอดคล้องกับปัญหาเหล่านั้นที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต
- ในการที่จะพัฒนาเศรษฐกิจจะต้องคำนึงถึงโครงสร้างรากฐานของสังคมไทยไปด้วย
ซึ่งจะทำให้การพัฒนานั้นส่งผลประโยชน์ให้ประชาชนมีความมั่นคงในชีวิต
อ้างอิง
- “ภาพรวมความเหลื่อมล้ำและความขัดแย้ง” ของ ผาสุก
พงษ์ไพจิตร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น