การปกครองในระบอบ “ประชาธิปไตย” ไม่เพียงแต่จะต้องมีกติกา หรือรัฐธรรมนูญที่จะกำหนด ระบบ ที่ใช้ในการปกครองประเทศภายใต้หลักการดังที่ได้กล่าวมาเท่านั้น สิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าก็คือ คน หรือประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของประเทศ ที่มีความแตกต่างหลากหลายภายใต้หลักสิทธิเสรีภาพและหลักความเสมอภาค จะต้องมีความเป็น “พลเมือง” ระบอบประชาธิปไตยที่เป็นการปกครอง โดยประชาชน หรือการปกครองที่ ประชาชนปกครองตนเอง จึงจะประสบความสำเร็จได้
“พลเมือง” ของระบอบประชาธิปไตย ประกอบไปด้วยลักษณะหกประการดังต่อไปนี้คือ หนึ่ง มีอิสรภาพและพึ่งตนเองได้ สอง เห็นคนเท่าเทียมกัน สาม ยอมรับความแตกต่าง สี่ เคารพสิทธิผู้อื่น ห้า รับผิดชอบต่อสังคม และ หก เข้าใจระบอบประชาธิปไตยและมีส่วนร่วม ซึ่งจะได้กล่าวเป็นลำดับไปดังนี้
มีอิสรภาพและพึ่งตนเองได้ – ระบอบประชาธิปไตยคือระบอบการปกครองที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจสูงสุดในประเทศ ประชาชนในประเทศจึงมีฐานะเป็นเจ้าของประเทศ เมื่อประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ ประชาชนจึงเป็นเจ้าของชีวิต และมีสิทธิเสรีภาพในประเทศของตนเอง ทำนองเดียวกับเจ้าของบ้านมีสิทธิเสรีภาพในบ้านของตน ระบอบประชาธิปไตยจึงทำให้เกิด หลักสิทธิเสรีภาพ และทำให้ประชาชนมี อิสรภาพ คือเป็นเจ้าของชีวิตตนเอง “พลเมือง” ในระบอบประชาธิปไตยจึงเป็น ไท คือเป็น อิสระชน ที่พึ่งตนเองและสามารถรับผิดชอบตนเองได้ และไม่ยอมตนอยู่ภายใต้อิทธิพลอำนาจ หรือภายใต้ “ระบบอุปถัมภ์” ของผู้ใด เด็กจะเป็น “ผู้ใหญ่” และเป็น “พลเมือง” หรือสมาชิกคนหนึ่งของสังคมได้อย่างแท้จริง เมื่อสามารถรับผิดชอบตนเองได้
เห็นคนเท่าเทียมกัน – ประชาธิปไตยคือระบอบการปกครองที่อำนาจสูงสุดในประเทศเป็นของประชาชน ดังนั้น ในระบอบประชาธิปไตยไม่ว่าประชาชนจะ แตกต่าง หรือ สูงต่ำ กันอย่างไร ไม่ว่าจะร่ำรวยหรือยากจน ไม่ว่าจะจบดอกเตอร์หรือจบ ป. ๔ ไม่ว่าจะมีอาชีพอะไร ไม่ว่าจะเป็นเจ้านายหรือเป็นลูกน้อง ทุกคนล้วนแต่ เท่าเทียมกัน ในฐานะที่เป็นเจ้าของประเทศ “พลเมือง” จึงต้อง เคารพหลักความเสมอภาค และจะต้อง เห็นคนเท่าเทียมกัน คือเห็นคนเป็น แนวระนาบ (horizontal) เห็นตนเท่าเทียมกับคนอื่น และเห็นคนอื่นเท่าเทียมกับตน ไม่ว่าจะยากดีมีจน ทุกคนล้วนมี ศักดิ์ศรีของความเป็นเจ้าของประเทศ อย่างเสมอกัน ถึงแม้จะมีการพึ่งพาอาศัยแต่จะเป็นไปอย่าง เท่าเทียม ซึ่งจะแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากสังคมแบบ อำนาจนิยม ในระบอบเผด็จการ หรือสังคม ระบบอุปถัมภ์ ซึ่งโครงสร้างสังคมจะเป็น แนวดิ่ง (vertical) ที่ประชาชนไม่เสมอภาค ไม่เท่าเทียม ไม่ใช่อิสระชน และมองเห็นคนเป็นแนวดิ่ง มีคนที่อยู่สูงกว่า และมีคนที่อยู่ต่ำกว่า โดยจะ ยอม คนที่อยู่สูงกว่า แต่จะ เหยียด คนที่อยู่ต่ำกว่า ซึ่งมิใช่ลักษณะของ “พลเมือง” ในระบอบประชาธิปไตย
ยอมรับความแตกต่าง – ประชาธิปไตยคือระบอบการปกครองที่ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ เมื่อประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ ประชาชนจึงมี เสรีภาพ ระบอบประชาธิปไตยจึงให้เสรีภาพ และยอมรับความหลากหลายของประชาชน ประชาชนจึงแตกต่างกันได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเลือกอาชีพ วิถีชีวิต ความเชื่อทางศาสนา หรือความคิดเห็นทางการเมือง ดังนั้น เพื่อมิให้ ความแตกต่าง นำมาซึ่ง ความแตกแยก ในสังคม “พลเมือง” ในระบอบประชาธิปไตยจึงต้อง ยอมรับ และ เคารพ ความแตกต่างของกันและกัน เพื่อให้สามารถ อยู่ร่วมกันได้ ถึงแม้จะแตกต่างกัน และจะต้องไม่มีการใช้ความรุนแรงต่อผู้ที่เห็นแตกต่างไปจากตนเอง ถึงแม้จะไม่เห็นด้วย แต่จะต้องยอมรับว่า คนอื่นมีสิทธิที่จะแตกต่างหรือมีความคิดเห็นที่แตกต่างไปจากเราได้ และต้องยอมรับ โดยไม่จำเป็นที่จะต้อง เข้าใจ ว่าทำไมเขาถึงเชื่อหรือเห็นแตกต่างไปจากเรา “พลเมือง” จึงคุยเรื่องการเมืองกันในบ้านได้ ถึงแม้จะเลือกพรรคการเมืองคนละพรรค หรือมีความคิดเห็นทางการเมืองคนละข้างกัน
เคารพสิทธิผู้อื่น – ในระบอบประชาธิปไตย ทุกคนเป็นเจ้าของประเทศ ทุกคนจึงมี สิทธิ แต่ถ้าทุกคนใช้สิทธิโดยคำนึงถึงแต่ประโยชน์ของตนเอง หรือเอาแต่ความคิดของตนเองเป็นที่ตั้ง โดยไม่คำนึงถึงสิทธิผู้อื่น หรือไม่สนใจว่าจะเกิดความเดือดร้อนแก่ผู้ใด ย่อมจะทำให้เกิดการใช้สิทธิที่กระทบกระทั่งกันจนกระทั่งไม่อาจที่จะอยู่ร่วมกันอย่างผาสุกต่อไปได้ ประชาธิปไตย ก็จะกลายเป็น อนาธิปไตย เพราะทุกคนเอาแต่สิทธิของตนเองเป็นใหญ่ สุดท้ายประเทศชาติย่อมจะไปไม่รอด สิทธิในระบอบประชาธิปไตยจึงจำเป็นต้องมี ขอบเขต คือมีสิทธิและใช้สิทธิได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น “พลเมือง” ในระบอบประชาธิปไตยจึงต้อง เคารพ สิทธิผู้อื่น และจะต้องไม่ใช้สิทธิเสรีภาพของตนไป ละเมิด สิทธิของผู้อื่น
รับผิดชอบต่อสังคม – ประชาธิปไตยมิใช่ระบอบการปกครอง ตามอำเภอใจ หรือใครอยากจะทำอะไรก็ทำ โดยไม่คำนึงถึงส่วนรวม ดังนั้น นอกจากจะต้องเคารพสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น และรับผิดชอบต่อผู้อื่นแล้ว “พลเมือง” ในระบอบประชาธิปไตยยังจะต้องใช้สิทธิเสรีภาพของตนโดย รับผิดชอบ ต่อสังคมด้วย โดยเหตุที่สังคมหรือประเทศชาติมิได้ ดีขึ้น หรือ แย่ลง โดยตัวเอง หากสังคมจะดีขึ้นได้ ก็ด้วย การกระทำ ของคนในสังคม และที่สังคมแย่ลงไป ก็เป็นเพราะ การกระทำ ของคนในสังคม “พลเมือง” นั้นก็คือผู้ที่มีสำนึกของความเป็นเจ้าของประเทศ และเป็นเจ้าของสังคม “พลเมือง” จึงไม่ใช่คนที่ใช้สิทธิเสรีภาพตามอำเภอใจ แล้วทำให้สังคม เสื่อม ลงไป หากเป็นผู้ที่ใช้สิทธิเสรีภาพโดยรับผิดชอบต่อสังคมและส่วนรวม โดยมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาและช่วยกันทำให้สังคมดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา
เข้าใจระบอบประชาธิปไตยและมีส่วนร่วม – ประชาธิปไตยคือการปกครอง โดย ประชาชน โดยใช้ กติกา หรือ กฎหมาย ที่มาจากประชาชนหรือผู้แทนประชาชน ระบอบประชาธิปไตยจะประสบความสำเร็จได้ ต่อเมื่อมี “พลเมือง” ที่เข้าใจหลักการพื้นฐานของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยตามสมควร ทั้งในเรื่อง หลักประชาธิปไตย หรือ การปกครองโดยประชาชน และ หลักนิติรัฐ หรือ การปกครองโดยกฎหมาย เข้าใจเรื่องการเลือกตั้ง และการมีส่วนร่วมทางการเมืองของพลเมือง ทั้งติดตามความเป็นไป และมีส่วนร่วมในเรื่องการบ้านการเมืองทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการไปเลือกตั้ง และการมีส่วนร่วมในเรื่องอื่นๆ ตามสมควร ถ้ามีความขัดแย้งก็เคารพกติกา และใช้วิถีทางประชาธิปไตยในการแก้ปัญหา โดยไม่ใช้กำลังหรือความรุนแรง
ประชาธิปไตยไม่ใช่กฎธรรมชาติ จึงต้องมีการฝึกฝนให้คนเป็น “มือง้ กฎธรรมชาติเป็นเรื่องของการใช้กำลัง สิน มีสิทธิที่จะเห็นแตกต่างจากตนเอง สระชน ที่ทุกคนต้องอยู่ภายใต้พลเมือง”
ประชาธิปไตยไม่ใช่กฎธรรมชาติ ความเสมอภาคกันยิ่งไม่ใช่กฎธรรมชาติ กฎธรรมชาติคือ ปลาใหญ่กินปลาน้อย ผู้แข็งแรงกว่าย่อมเป็นผู้ชนะ ผู้อ่อนแอย่อมพ่ายแพ้ และการใช้กำลังตัดสินปัญหาต่างหากที่เป็นกฎธรรมชาติ ประชาธิปไตย – ซึ่งเป็นเรื่องของอารยะชน ที่ต้องการจะไปให้พ้นการตัดสินปัญหากันด้วยกำลัง – จึงเป็นสิ่งที่ฝืนธรรมชาติ ดังนั้น การเห็นคนเท่าเทียมกัน การยอมรับในความแตกต่าง การเคารพสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น และการรับผิดชอบต่อสังคม อันเป็นลักษณะของ “พลเมือง” ในระบอบประชาธิปไตยดังที่ได้กล่าวมา จึงไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นมาได้เอง หากจะต้องมี การฝึกฝน และในเรื่องความเข้าใจระบอบประชาธิปไตยดังที่ได้กล่าวในตอนต้น ก็มิใช่เรื่องที่คนจะรู้ได้เอง หากต้อง เรียนรู้ กันตั้งแต่ในโรงเรียน
ประเทศทั้งหลายที่ประสบความสำเร็จในการปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ซึ่งได้แก่ประเทศส่วนใหญ่ในทวีปยุโรป และประเทศในทวีปอเมริกาเหนือ จึงมีสิ่งที่เรียกว่า “การศึกษาเพื่อสร้างพลเมือง” หรือ Civic Education เพื่อสอนและฝึกฝนคนของเขาให้เป็น พลเมือง โดยเริ่มสอนกันตั้งตั้งแต่ในชั้นอนุบาล และชั้นประถม ต่อเนื่องไปจนจบชั้นมัธยม
ในประเทศเหล่านี้ สิ่งแรกที่เด็กจะต้องเรียนใน โรงเรียนอนุบาล เมื่อมีความขัดแย้งหรือมีการทะเลาะกันเกิดขึ้น ก็คือ ห้ามตีกัน เมื่อมีการทะเลาะกัน ครูจะจับแยกกันทันที และจะให้เรียนรู้กติกาพื้นฐานประการแรกของการอยู่ร่วมกันในสังคมตามระบอบประชาธิปไตยคือ ขัดแย้งกันได้ แต่ห้ามใช้ความรุนแรง เมื่อขึ้นชั้น ประถม เด็กจะเรียนรู้เรื่องของ ความรับผิดชอบ ซึ่งเป็นสิ่งที่กำกับการใช้สิทธิเสรีภาพ โดยจะถูกฝึกฝนให้ รับผิดชอบตนเอง รับผิดชอบต่อผู้อื่น และ รับผิดชอบต่อสังคม ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพ แต่ต้องไม่ใช้สิทธิเสรีภาพของตนไปละเมิดสิทธิเสรีภาพคนอื่น และทำสิ่งใดจะต้องคำนึงถึงอยู่เสมอว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของสังคม สังคมจะดีขึ้นหรือแย่ลงก็อยู่ที่การกระทำของคนในสังคม เด็กในประเทศที่มี “การศึกษาเพื่อสร้างพลเมือง” จึงมีสิทธิเสรีภาพมากขึ้นตามวัยที่โตขึ้น พร้อมๆ กับมีความรับผิดชอบมากขึ้นตามไปด้วย นอกจากเรื่องความรับผิดชอบแล้ว นักเรียนประถมยังจะต้องเรียนรู้เรื่อง การประนีประนอม (compromise) และ การทำงานร่วมกับคนอื่น (cooperation) ไม่ใช่เรียนรู้แต่การแข่งขัน (competition) เท่านั้น เพราะประชาธิปไตยคือการอยู่ร่วมกันในสังคม จึงต้องสอนให้เด็กเรียนรู้ที่จะแก้ไขความขัดแย้ง เรียนรู้ที่จะตกลงกัน และเรียนรู้ที่จะทำงานและอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น
เครื่องมือ หรือ วิธีการ ที่โรงเรียนในอเมริกาและในยุโรปใช้ในการสร้างจิตสำนึกของความเป็นพลเมืองให้กับเด็กนักเรียนคือ การให้นักเรียนได้ออกไป สัมผัสกับปัญหาต่างๆ ของชุมชน ที่อยู่รอบๆ โรงเรียน และให้ตั้งคำถามว่าได้พบเห็นปัญหาอะไรบ้าง จากนั้นจะใช้ กระบวนการกลุ่ม ในการทำให้เกิดการถกเถียงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อวิเคราะห์ปัญหา หาสาเหตุ และเสนอ โครงงาน ของกลุ่มในการลงมือแก้ปัญหา โดยครูจะดูแล แนะนำ และให้คำปรึกษาในการทำโครงงานให้เหมาะสมกับระดับอายุและชั้นเรียน วิธีการนี้จะทำให้เด็กนักเรียนได้เริ่มมองออกไปจากตนเองไปสู่คนอื่น ได้สัมผัสความเป็นจริงที่อยู่รอบๆ ตัว เห็นตนเองเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา และเชื่อมโยงตนเองเป็นส่วนหนึ่งของสังคม โดยกระบวนการกลุ่มจะทำให้เกิดการเรียนรู้ที่จะยอมรับความแตกต่าง เคารพสิทธิ และรู้จักที่จะทำงานร่วมกับผู้อื่น สำหรับการลงมือปฏิบัติจะทำให้เกิดจิตสำนึกที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสังคม และพัฒนาไปสู่การเป็น “พลเมือง” ที่ร่วมกันรับผิดชอบต่อสังคม กระบวนการนี้ในอเมริกาและหลายๆ ประเทศในยุโรปเริ่มต้นตั้งแต่ ชั้นประถมตอนปลาย และเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดในการสร้างประชาชนของเขาให้เป็น “พลเมือง”
เมื่อเริ่มต้นเป็นพลเมืองแล้ว ก็จะเริ่มเรียนเรื่อง การเมืองการปกครอง อย่างจริงจังในชั้นมัธยม โดย มัธยมต้น จะเรียนเรื่อง การปกครองในระบอบประชาธิปไตย และ ประวัติศาสตร์การเมือง มัธยมปลาย จะเรียนเรื่อง รัฐธรรมนูญ และ การปกครองโดยกฎหมาย นักเรียนมัธยมปลายต้องเข้าใจเรื่องหลักการของประชาธิปไตย การปกครองโดยกฎหมายคืออะไร ทำไมต้องมีการแบ่งแยกอำนาจเป็นนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ การตรวจสอบถ่วงดุลกันในระบอบประชาธิปไตยคืออะไร ประชาชนอยู่ตรงไหน รวมทั้งเข้าใจระบบการเมืองและการเลือกตั้งของประเทศของตนเองตามสมควร
เมื่อจบโรงเรียนมัธยมปลาย อายุ ๑๘ ปี มีสิทธิเลือกตั้ง ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเหล่านี้จึงได้รับการฝึกฝนให้เป็น “พลเมือง” แล้ว “พลเมือง” ที่เห็นคนเท่าเทียม ยอมรับความแตกต่าง เคารพสิทธิผู้อื่น รับผิดชอบต่อสังคม และพร้อมที่จะมีส่วนร่วมในระบอบประชาธิปไตยอย่างเต็มตัว เมื่อไปเลือกตั้งก็จะไปใช้สิทธิอย่างที่เป็น “พลเมือง” คือไม่ถูกครอบงำด้วยอำนาจหรืออิทธิพลใด ถ้าไปรับราชการก็จะรู้ว่า เจ้าหน้าที่รัฐ ก็เป็น “พลเมือง” ที่เสมอกันกับประชาชนคนอื่นๆ และเป็นผู้ทำหน้าที่ให้บริการสาธารณะแก่ประชาชน มิใช่เจ้านายประชาชน ถ้าไปเป็น ทหาร หรือ ตำรวจ ก็จะเข้าใจว่าตนเองเป็น “พลเมืองในเครื่องแบบ” (citizen in uniform) ทหารก็จะไม่ปฏิวัติ ไม่ฉีกรัฐธรรมนูญ ตำรวจก็จะไม่ซ้อมผู้ต้องหา ถ้าไปเป็น นักการเมือง ก็เข้าใจว่าประชาธิปไตยและการปกครองโดยกฎหมายคืออะไร บทบาทของผู้แทนปวงชนคืออะไร และจะมีศักดิ์ศรี มีอิสรภาพ มีความเสมอภาค จึงไม่ยอมขายตัว หรือยอมให้พรรคการเมืองหรือนักการเมืองที่มีตำแหน่งใหญ่กว่ามาครอบงำ
นอกจากจะมีการศึกษาเพื่อสร้างพลเมืองในโรงเรียนแล้ว ในประเทศเหล่านี้ ยังมีการศึกษาเพื่อสร้างพลเมืองที่เป็นการศึกษา นอกโรงเรียน หรือการศึกษานอกระบบการศึกษา เพื่อให้มี การศึกษาเพื่อสร้างพลเมืองสำหรับผู้ใหญ่ (Adult Civic Education) ด้วย โดยส่งเสริมให้องค์กรเอกชน ชุมชน องค์กรปกครองท้องถิ่น รวมทั้งพรรคการเมือง มีบทบาทอย่างเต็มที่ในเรื่องนี้ ทั้งยังมีการให้ การศึกษาทางการเมือง (Political Education) แก่ประชาชน โดยมีหลักสูตรวิชาเรื่องการเมืองการปกครอง รัฐธรรมนูญ สิทธิเสรีภาพ เป็นต้น เพื่อให้ “พลเมือง” ที่สนใจสามารถเลือกเรียนได้อีกด้วย
การศึกษาเพื่อสร้างพลเมืองสำหรับผู้ใหญ่นี้ จะมีความสำคัญมากโดยเฉพาะในช่วง เริ่มต้น ของการจัดการศึกษาเพื่อสร้างพลเมือง เพราะถ้ามีเฉพาะแต่การศึกษาเพื่อสร้างพลเมืองให้กับเด็กรุ่นใหม่ในโรงเรียน ผู้ใหญ่หรือนักศึกษามหาวิทยาลัยที่ผ่านโรงเรียนมาแล้ว ก็จะไม่มีโอกาสได้ศึกษาเพื่อ เปลี่ยน ตนเองให้เป็นพลเมืองได้เลย ทุกประเทศที่เริ่มมีการศึกษาเพื่อสร้างพลเมืองจึงมีการดำเนินการไปพร้อมกัน ทั้งกับเด็กในโรงเรียน ซึ่งเป็นการมุ่งไปที่การสร้างคนรุ่นใหม่ให้เติบโตขึ้นมาเป็นพลเมือง และกับผู้ใหญ่ที่ผ่านโรงเรียนมาแล้วด้วย
นี่คือหลักการและ ตัวอย่าง ของ การศึกษาเพื่อสร้างพลเมือง ที่ทำให้ระบอบประชาธิปไตยประสบความสำเร็จในยุโรปและอเมริกา ถึงแม้ว่าบางที ระบบ จะมีปัญหา และบ่อยครั้งที่ คน ก็มีปัญหา แต่ คนส่วนใหญ่ ที่เป็นพลเมืองก็จะช่วยแก้ไขปัญหากันไปได้ตามวิถีทางประชาธิปไตย และตามบทบาทหน้าที่ของแต่ละคน
ถ้าประชาชนเป็น “พลเมือง” จะเกิด “สังคมพลเมือง” (Civil Society) และประชาธิปไตยจะเป็นการปกครองโดยประชาชนอย่างแท้จริง
ถ้าประชาชนเป็น “พลเมือง” ประชาธิปไตยถึงแม้จะเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบผู้แทน (Representative Democracy) คือประชาชนมิได้ใช้อำนาจอธิปไตยโดยตรง แต่ใช้โดยผ่านการเลือกผู้แทน แต่ก็ยังคงเป็นการปกครอง โดยประชาชน มิใช่การปกครองโดยผู้แทน หรือปกครองโดยนักการเมืองหรือพรรคการเมือง เพราะประชาชนที่เป็น “พลเมือง” จะเป็นอิสระไม่อยู่ภายใต้การครอบงำหรือการกะเกณฑ์ของนักการเมืองหรือผู้มีอำนาจคนใด ประชาธิปไตยของประเทศที่มีพลเมือง จึงยังเป็นประชาธิปไตยที่เป็นการปกครองโดยประชาชน มิใช่ปกครองโดยนักการเมือง
ตัวอย่างเช่น ประเทศอังกฤษ ในตอนที่สงครามโลกครั้งที่สองเพิ่งสิ้นสุดลง ตอนนั้น วินสตัน เชอร์ชิล เป็นนายกรัฐมนตรีที่คนอังกฤษนิยมชมชอบมาก เพราะทำให้อังกฤษชนะเยอรมัน แต่ทั้งๆ ที่เชอร์ชิลมีอำนาจมากและคนนิยมมาก แต่คนอังกฤษก็ไม่เลือกเชอร์ชิลให้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะรู้ว่าเชอร์ชิลไม่เหมาะกับการบริหารประเทศในยุคหลังสงคราม หรือใน สหรัฐอเมริกา ถ้าประธานาธิบดีมาจากพรรครีพับลิกัน และพรรครีพับลิกันมีเสียงข้างมากในสภาคองเกรส (สภาผู้แทนราษฎร) แต่ปรากฏว่าประธานาธิบดีบริหารประเทศไม่ดี ถึงเวลาเลือกตั้ง ส.ส. ซึ่งสหรัฐอเมริกาเลือกทุกๆ สองปี ประชาชนจะเลือก ส.ส. พรรคเดโมแครต ให้เข้าไป ถ่วงดุล กับพรรครีพับลิกัน ในทางกลับกัน สมมติว่าประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันบริหารประเทศดี แต่พรรครีพับลิกันมีเสียงข้างน้อยในสภาคองเกรส ประชาชนก็จะเลือก ส.ส. ของพรรครีพับลิกันเข้าสภาคองเกรสไปให้มากขึ้น เพื่อสนับสนุนการทำงานของประธานาธิบดี นี่คือตัวอย่างของการปกครอง โดย ประชาชน ที่ประชาชนใช้พรรคการเมืองและนักการเมือง มิใช่ถูกนักการเมืองหรือพรรคการเมืองใช้ นี่คือ การเมืองของพลเมือง ที่จะมีได้ก็แต่ในระบอบประชาธิปไตย ที่มี “พลเมือง” เท่านั้น เมื่อประชาชนในสังคมใดเป็น “พลเมือง” สังคมนั้นก็จะเป็น Civil Society หรือสังคมที่ประกอบด้วย “พลเมือง” ที่เอาใจใส่ในความเป็นไปและมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาของชุมชน ปัญหาของสังคม และปัญหาของบ้านเมือง Civil Society นี้ เรามักจะแปลกันว่า “ประชาสังคม” แท้ที่จริงแล้ว Civil Society ก็คือ “สังคมพลเมือง” หรือสังคมที่ประกอบด้วย “พลเมือง” นั่นเอง
เมื่อเกิด “สังคมพลเมือง” ขึ้นมาแล้ว สังคมก็จะเข้มแข็งในการถ่วงดุลกับอำนาจ ทั้งอำนาจทางการเมืองและอำนาจทางเศรษฐกิจ การเมืองภาคประชาชนจะเข้มแข็ง การปกครองท้องถิ่นจะเข้มแข็ง ชุมชนจะเข้มแข็ง ผู้บริโภคจะเข้มแข็ง ประชาชนจะมีบทบาทในการแก้ปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสังคม ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาศีลธรรม ปัญหาจราจร หรือปัญหาอื่นๆ ทั้งหลาย ก็จะคลี่คลายแก้ไขไปได้แทบทั้งหมด เพราะสังคมจะไม่รอคอยหรือเรียกร้องให้รัฐบาล หรือให้ ส.ส. มาแก้ไขให้แต่อย่างเดียวอีกต่อไป แต่จะช่วยกันแก้ไขทั้งสังคม ใครอยู่ชุมชนใด ใครอยู่ภาคส่วนไหน ก็จะช่วยกันแก้ไขในส่วนของตนเอง
ความล้มเหลวของประชาธิปไตยหากไร้พลเมือง ในทางกลับกัน ประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยที่มิได้ทำให้ประชาชนเป็นพลเมือง หรือไม่มี “การศึกษาเพื่อสร้างพลเมือง” ประชาธิปไตยก็จะล้มเหลว และเต็มไปด้วยอุปสรรคปัญหา โดยมีรูปแบบหรือลักษณะของปัญหาอย่างน้อยสามประการดังต่อไปนี้
ประการที่หนึ่ง เกิดชนชั้นปกครองใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง โดยประชาชนมิใช่ผู้ปกครองที่แท้จริง หากเป็นแต่เพียง ความชอบธรรม ให้กับผู้ที่มาจากการเลือกตั้ง และประชาชนหาได้มีอิสรภาพ หรือจิตสำนึกของความเป็นพลเมืองไม่ หากเป็นแต่ผู้อยู่ภายใต้ระบบอุปถัมภ์ของชนชั้นปกครองใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งเท่านั้น
ประการที่สอง เกิดการแตกแยกกันในสังคม เพราะประชาชนไม่ยอมรับความแตกต่าง และไม่เคารพสิทธิเสรีภาพของกันและกัน ความเห็นที่ต่างกันจึงนำไปสู่ความแตกแยก ขัดแย้ง และแบ่งเป็นฝักฝ่าย พรรคการเมือง และ การเลือกตั้ง จะกลายเป็นสิ่งที่ทำให้สังคม หรือชุมชน หรือครอบครัวแตกแยกกัน ประชาธิปไตยจะกลายเป็นเรื่องของ พวก และ การแบ่งข้าง ไม่ฟังซึ่งกันและกัน และถ้าขัดแย้งกันมาก แล้วมิได้ตัดสินกันด้วยความจริง กติกา และกระบวนการยุติธรรม ในที่สุดก็จะนำไปสู่ความรุนแรงและเหตุการณ์นองเลือด หรือถึงขนาดเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นมาได้
ประการที่สาม หรือถ้าไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรงนองเลือด ประชาธิปไตยที่ไร้พลเมือง ก็จะเป็นประชาธิปไตยที่ใช้สิทธิเสรีภาพกันตาม อำเภอใจ ทุกคนอ้างแต่สิทธิเสรีภาพของตนเอง แต่ไม่มีใครพูดถึงความรับผิดชอบต่อสังคม ใครอยากทำอะไรก็ทำไป ไม่เห็นว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้สังคมดีขึ้นหรือเลวลง ในที่สุด สิทธิเสรีภาพ ก็จะนำไปสู่ความ เสื่อมทราม ของสังคมประเทศไทยในขณะนี้ ดูเหมือนจะมีปัญหาหมดทั้งสามประการที่กล่าวมา เพราะประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แต่ไม่มี “การศึกษาเพื่อสร้างพลเมือง” แต่อย่างใด ประชาธิปไตยของประเทศไทยจึงล้มเหลว เช่นเดียวกับที่ล้มเหลวในประเทศส่วนใหญ่ในทวีปแอฟริกา ในอเมริกาใต้ และในเอเชียที่ไม่มีการศึกษาเพื่อสร้างพลเมือง
ที่จริงแล้วหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี ๒๔๗๕ นายปรีดี พนมยงค์ ผู้นำคณะราษฎร (อ่านว่า คณะ – ราด – สะ – ดอน) ฝ่ายพลเรือน ได้พยายามจะดำเนินการเรื่องการศึกษาเพื่อสร้างพลเมือง โดยการก่อตั้ง “มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง” ขึ้นมาในปี ๒๔๗๗ เพื่อที่จะ “ประศาสน์ความรู้ในวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองให้แก่พลเมืองให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” (คำกล่าวในวันเปิดมหาวิทยาลัยของนายปรีดี) แต่ในครั้งนั้นก็ยังมิได้มีการดำเนินการในระดับโรงเรียน และเมื่อเกิดรัฐประหารในปี ๒๔๙๐ บ้านเมืองเข้าสู่ยุคเผด็จการ การศึกษาเพื่อสร้างพลเมืองของประเทศไทยจึงต้องยุติลงไป
สำหรับ “วิชาหน้าที่พลเมือง” ที่ เคยมี ในโรงเรียนในประเทศไทยนั้น ไม่เหมือนกับ “การศึกษาเพื่อสร้างพลเมือง” ที่ได้กล่าวมา เพราะ “การศึกษาเพื่อสร้างพลเมือง” จะทำให้เกิดพลเมืองที่มี ความรับผิดชอบ ด้วย จิตสำนึก โดยเริ่มต้นจากความรับผิดชอบต่อผู้อื่น และต่อชุมชนของตนเอง จากนั้นจึงนำไปสู่ความรับผิดชอบต่อสังคม และต่อประเทศชาติ ในขณะที่ “วิชาหน้าที่พลเมือง” จะปลูกฝังให้ประชาชน ต้องทำ เพราะเป็น หน้าที่ ซึ่งไม่เหมือนกัน ทั้งยังมุ่งไปในเรื่องหน้าที่ต่อ “ชาติ” โดยไม่ได้เริ่มจากเรื่องใกล้ตัวคือเรื่องของชุมชนของตนเอง แต่อย่างไรก็ตามการมี “วิชาหน้าที่พลเมือง” อย่างน้อยยังทำให้คนไทยที่ผ่านการศึกษาในโรงเรียนในอดีตถูกปลูกฝังให้มีความผิดชอบต่อส่วนรวมและประเทศชาติในระดับหนึ่ง การที่ “วิชาหน้าที่พลเมือง” ถูกยกเลิกไป จึงทำให้เกิดปัญหามากขึ้น เพราะทุกคนจะพูดถึงแต่สิทธิเสรีภาพของตนเอง แต่ไม่พูดถึงความรับผิดชอบอีกต่อไป
ทุกวันนี้โรงเรียนส่วนใหญ่ในประเทศไทยสอนแต่ การแข่งขัน แข่งขันกันเพื่อเข้ามหาวิทยาลัย จนเด็กต้องไป “เรียนพิเศษ” กันตั้งแต่ชั้นอนุบาล ครูจำนวนไม่น้อยก็มิได้สอนนักเรียนในห้องเรียนอย่างเต็มที่ เพราะจะเก็บไว้ไปสอนตอนเรียนพิเศษ ความจริงแล้วการแข่งขันมิใช่เรื่องเลวร้าย หากเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการกระตุ้นให้เด็กพัฒนาศักยภาพของตนเอง แต่การสอนให้แข่งขันกันแต่เพียงอย่างเดียวโดยไม่สอนเรื่องความรับผิดชอบ และการอยู่ร่วมกับผู้อื่น จะนำมาซึ่ง ความเห็นแก่ตัว เมื่อจบจากโรงเรียนมาเข้ามหาวิทยาลัยก็จะพบกับระบบการศึกษาแบบ แยกส่วน เรียนทีละวิชา เรียนครบก็จบได้ ไม่ได้เชื่อมโยงกับความเป็นไปนอกห้องเรียน แล้วก็มักจะสอนแต่ “ความรู้” ในตำรา ไม่ค่อยได้สอน “ความจริง” และความเป็นไปของสังคม ระบบการศึกษาของประเทศไทยตั้งแต่โรงเรียนจนมหาวิทยาลัยจึงไม่สามารถสร้าง “พลเมือง” ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมได้อย่างที่ควรจะเป็น
เมื่อไม่มี “พลเมือง” ประชาธิปไตยของประเทศไทยจึงล้มเหลวมาโดยตลอด ประชาชนส่วนใหญ่มิได้เป็น “พลเมือง” ที่มีอิสรภาพ หากอยู่ภายใต้ “ระบบอุปถัมภ์” ของนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับนักการเมืองเป็น แนวดิ่ง มิใช่ แนวระนาบ ส.ส. จะให้การอุปถัมภ์และประโยชน์แก่ประชาชน ประชาชนก็เลือก ส.ส. คนนั้นเป็น ส.ส. เพื่อให้ความอุปถัมภ์แก่ตนเองต่อไป “พรรคการเมือง” จึงมักจะมิใช่เครื่องมือของประชาชนในการสร้างเจตนารมณ์ทางการเมืองดังที่ควรจะเป็น หากเป็นที่รวมกันของ “ผู้อุปถัมภ์” ที่มาจากการเลือกตั้ง การจัดตั้งรัฐบาลเป็นเรื่องของการจัดสรรผลประโยชน์ และตามมาด้วยเรื่องการถอนทุนและคอร์รัปชัน สุดท้ายก็จบด้วยการรัฐประหารและฉีกรัฐธรรมนูญ ถึงแม้จะมีความพยายามแก้ปัญหาด้วยการไป “เผยแพร่ประชาธิปไตย” หรือ “สร้างจิตสำนึกประชาธิปไตย” ให้กับประชาชนในต่างจังหวัด แต่ก็ล้มเหลวมาโดยตลอด เพราะผู้ที่ไปเผยแพร่ก็ไม่รู้ว่าอะไรคือประชาธิปไตย และไม่เข้าใจว่า “จิตสำนึกประชาธิปไตย” คืออะไร
จิตสำนึกประชาธิปไตย ก็คือความเป็น “พลเมือง” นั่นเอง และความเป็น “พลเมือง” นี่เองคือรากฐานของประชาธิปไตย ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศไทยไม่เคยทำ
การเปลี่ยนประชาชนให้เป็นพลเมือง : บทเรียนจากประเทศเยอรมัน
หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงในปี พ.ศ. ๒๔๘๘ ด้วยความพ่ายแพ้ของประเทศเยอรมัน ประเทศสัมพันธมิตร ๔ ประเทศที่ชนะสงคราม คือสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย ได้แยกประเทศเยอรมันออกเป็น ๔ ส่วน และแบ่งกันครอบครอง จนกระทั่ง ๔ ปีให้หลัง ประเทศฝ่ายโลกเสรีประชาธิปไตย ๓ ประเทศคือ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส จึงได้อนุญาตให้ประชาชนชาวเยอรมันในเขตยึดครองของตนมีสิทธิในการปกครองตนเองอีกครั้ง ประเทศเยอรมัน ๓ ใน ๔ ส่วนจากที่เคยมีจึงฟื้นขึ้นมาใหม่ โดยถูกเรียกว่า “เยอรมันตะวันตก” หรือ West Germany ในเวลาต่อมา ในขณะที่กำลังจะร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่กันนั้น ผู้นำและนักวิชาการที่รอดชีวิตจากสงครามโลกครั้งที่สองได้ตั้งคำถามว่า เกิดอะไรขึ้นกับประชาธิปไตยของเยอรมัน เพราะ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ นั้นมาจากการ เลือกตั้ง ทำไมประชาธิปไตยของประเทศเยอรมันจึงก่อให้เกิดเผด็จการเบ็ดเสร็จอย่างฮิตเลอร์ขึ้นมาได้ ? ฮิตเลอร์ซึ่งก่อสงครามโลกครั้งที่สองที่คร่าชีวิตคนยุโรปไปกว่า ๕๐ ล้านคน และฆ่าคนยิวมากกว่า ๖ ล้านคนด้วยวิธีการอันโหดร้ายทารุณ ทั้งยังฆ่าคนเยอรมันที่ต่อต้านหรือสงสัยว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามไปมากกว่าสองแสนคน และในที่สุดทำให้ประเทศเยอรมันต้องพินาศย่อยยับจนแทบสิ้นชาติเกิดขึ้นมาจากระบอบประชาธิปไตยได้อย่างไร ?
พวกเขาได้ข้อสรุปว่าความหายนะของระบอบประชาธิปไตยของเยอรมันนั้น มีที่มาจาก ๒ สาเหตุคือ ประการที่หนึ่ง ระบอบประชาธิปไตยของเยอรมันในตอนนั้นมีปัญหาเรื่อง การแบ่งแยกอำนาจ และ การตรวจสอบถ่วงดุล ระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหาร โดยเหตุที่ประเทศเยอรมันใช้ ระบบรัฐสภา ซึ่งมีจุดอ่อนคือ การที่นายกรัฐมนตรีไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรง แต่มาจากเสียงข้างมากของสภา ทำให้นายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นฝ่ายบริหารสามารถครอบงำสภาซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติได้ โดยมีเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการครอบงำสภาคือ พรรคการเมือง ที่นายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าพรรค จากจุดอ่อนตรงนี้ ฮิตเลอร์ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคนาซีที่ชนะการเลือกตั้งได้เสียงข้างมากในสภาไรช์ทาก (Reichstag - สภาผู้แทนราษฎรของประเทศเยอรมันในขณะนั้น) จึงสามารถครอบงำสภาไรช์ทาก และให้สภาไรช์ทากที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติออกฎหมายให้อำนาจแก่ตนเอง จนสามารถสถาปนาระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จขึ้นมาในที่สุด ประการที่สอง ประเทศเยอรมันเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบไกเซอร์ (Kaiser แปลว่าจักรพรรดิ) มาเป็นระบอบประชาธิปไตยโดยที่ไม่ได้สร้าง “พลเมือง” ฮิตเลอร์ที่มาจากการเลือกตั้งจึงกลายเป็นผู้ปกครองที่มา แทนที่ ไกเซอร์ โดยสังคมเยอรมันยังเป็นสังคม แนวดิ่ง แบบ อำนาจนิยม เหมือนในสมัยไกเซอร์ คนเยอรมันในตอนนั้นจึงยอมรับในอำนาจของฮิตเลอร์ และเชื่อฟังฮิตเลอร์ จนกระทั่งยอมให้ฮิตเลอร์นำพาตนเองและประเทศชาติไปสู่หายนะในที่สุด
ผู้นำและนักวิชาการของเยอรมันตะวันตกจึงได้ใช้บทเรียนในสมัยฮิตเลอร์ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมา โดยตัดสินใจที่จะใช้ ระบบรัฐสภา ต่อไป แต่ได้แก้ไขจุดอ่อนของระบบรัฐสภาที่เคยมีในสมัยฮิตเลอร์ โดยการทำให้ฝ่ายนิติบัญญัติเป็นอิสระจากรัฐบาล เพื่อให้สภาผู้แทนราษฎรสามารถตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาลได้ ไม่ถูกรัฐบาลใช้พรรคการเมืองมาครอบงำอีกต่อไป ซึ่งประเทศเยอรมันตะวันตกทำได้สำเร็จ รัฐธรรมนูญนี้ประกาศใช้ในปี พ.ศ. ๒๔๙๒ และทำให้ประเทศเยอรมันไม่เกิดเผด็จการที่มาจากการเลือกตั้งอีกเลย พร้อมกับมีระบบรัฐสภาที่มีทั้ง เสถียรภาพ และ ประสิทธิภาพ มาจนกระทั่งทุกวันนี้ รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีชื่อว่า Grundgesetz ซึ่งแปลว่า กฎหมายพื้นฐาน เพราะเดิมผู้ร่างรัฐธรรมนูญของเยอรมันตะวันตกตั้งใจจะใช้เป็นการชั่วคราวจนกว่าประเทศเยอรมันจะรวมกันได้อีกครั้งเท่านั้น แต่เมื่อถึงเวลาที่ประเทศเยอรมันกลับมารวมกันอีกครั้งจริงๆ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๓ โดยประเทศเยอรมันตะวันออกหรือ East Germany ซึ่งเป็นเขตยึดครองของรัสเซีย ได้เข้ามารวมกับประเทศเยอรมันตะวันตก ประเทศเยอรมันตัดสินใจใช้กฎหมายพื้นฐานฉบับนี้เป็นรัฐธรรมนูญต่อเนื่องมาจนทุกวันนี้
พร้อมๆ กับการจัดทำรัฐธรรมนูญที่มีการตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างอำนาจ ประเทศเยอรมันตะวันตกได้ดำเนินการให้มี “การศึกษาเพื่อสร้างพลเมือง” เพื่อเปลี่ยนเป็นประชาชนเยอรมันให้เป็น “พลเมือง” โดยปฏิรูประบบการศึกษาให้เป็น “การศึกษาเพื่อสร้างพลเมือง” เพื่อสร้างคนรุ่นใหม่ให้เป็นพลเมืองโดยเริ่มต้นตั้งแต่ชั้นอนุบาล พร้อมกับจัดให้มีการศึกษาเพื่อความเป็นพลเมืองให้กับผู้ใหญ่ ทั้งยังได้มีการปฏิรูปสื่อมวลชนทั้งโทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์ ให้สามารถเสนอข่าวสารได้โดยเป็นอิสระจากรัฐบาล และส่งเสริมให้พรรคการเมืองรวมถึงองค์กรภาคประชาชนต่างๆ ทำหน้าที่ให้ความรู้แก่ประชาชนในเรื่องการเมืองด้วย ประเทศเยอรมันทำได้สำเร็จโดยใช้เวลาเพียงประมาณ ๑๕ ปีเท่านั้น – คือตั้งแต่เด็กเริ่มเรียนอนุบาลจนจบมัธยมปลาย – และทำให้ประเทศเยอรมันมีประชาธิปไตยที่มั่นคงมาจนทุกวันนี้
นี่คือบทเรียนจากประเทศเยอรมัน ที่เคย ล้มเหลว ในการปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ถึงขนาดเกิดเผด็จการที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติสมัยใหม่อย่างฮิตเลอร์ขึ้นมา จนต้องประสบกับความหายนะถึงขนาดเกือบสิ้นประเทศไปแล้ว แต่กลับสามารถแก้ไขและพัฒนาประชาธิปไตยของเขาให้มั่นคงขึ้นมาได้ ประเทศไทยใช้ระบบรัฐสภาเหมือนกับประเทศเยอรมัน และมีปัญหาเรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยโดยไม่ได้สร้างพลเมืองเช่นเดียวกับประเทศเยอรมัน อีกทั้งยังมีลักษณะสังคมเป็นแบบอำนาจนิยมดังเช่นสังคมเยอรมันในสมัยฮิตเลอร์ ประสบการณ์ของประเทศเยอรมันที่แก้ปัญหาได้สำเร็จจึงน่าจะเป็นตัวอย่างและบทเรียนให้กับประเทศไทยในขณะนี้ได้เป็นอย่างดี
พลเมือง : ทางรอดประชาธิปไตยไทย
พลเมืองคือรากฐานของประชาธิปไตย จิตสำนึกประชาธิปไตยก็คือจิตสำนึกของความเป็นพลเมือง รัฐธรรมนูญที่มีการแบ่งแยกอำนาจ และการตรวจสอบถ่วงดุล (checks & balances) ที่ดี เป็นเรื่องของ ระบบ ที่จำเป็นจะต้องมีการแก้ไข (ซึ่งผู้เขียนจะได้เขียนต่างหากออกไปเป็นอีกเรื่องหนึ่ง) แต่เรื่องของ คน เป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการไปพร้อมๆ กันอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ประชาธิปไตยของประเทศไทยมีรากฐานที่มั่นคง ไม่เดินหน้าไปสู่การเผชิญหน้า ความรุนแรง และจบลงด้วยรัฐประหารและการนองเลือดกันอีก การศึกษาเพื่อสร้างพลเมือง หรือ Civic Education เพื่อเปลี่ยนประชาชนให้เป็นพลเมือง จึงเป็นทางรอดของประชาธิปไตยของประเทศไทย ซึ่งเราสามารถเรียนรู้เทคนิควิธีการได้จากประเทศต่างๆ ในอเมริกาและยุโรปที่ประสบความสำเร็จในเรื่องนี้มาแล้ว
ประเทศไทยผ่านเหตุการณ์ต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยมาหลายเหตุการณ์ ทั้งยังมีการเมืองภาคพลเมืองที่มีความเข้มแข็งพอสมควร ประเทศไทยจึงมิได้เริ่มจากศูนย์ในการเปลี่ยนประชาชนให้เป็นพลเมือง ถ้าหากสามารถเชื่อมประสานกลุ่มองค์กรภาคประชาชนรวมถึงภาครัฐ ที่พยายาม “เผยแพร่ประชาธิปไตย” หรือทำงานภาคประชาชน ให้มาร่วมกันภายใต้ ยุทธศาสตร์เดียวกัน คือการเปลี่ยนประชาชนให้เป็นพลเมือง ด้วยวิธีการอันหลากหลาย ที่มีเป้าหมายเดียวกันคือสร้างพลเมือง โอกาสของประเทศไทยที่จะมีประชาธิปไตยที่เข้มแข้งมั่นคง ไม่ล้มเหลว หรือไร้ความหวัง จะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ในอนาคต
การศึกษาเพื่อสร้างพลเมือง หรือการเปลี่ยนประชาชนให้เป็นพลเมือง เป็นเรื่องที่จะต้องใช้เวลา โดยปกติคือคนหนึ่งรุ่น ประเทศเยอรมันใช้เวลาประมาณ ๑๕ ปี สำหรับประเทศไทย ด้วยต้นทุนการเรียกร้องประชาธิปไตย การตื่นตัวของประชาชน และเทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่ที่เรามีในตอนนี้ ถ้าเราเริ่มต้น ณ บัดนี้ เราอาจจะใช้เวลาเพียงแค่สิบปี หรืออาจจะสั้นกว่านั้นก็ได้ หากมีการดำเนินการศึกษาเพื่อสร้างพลเมืองอย่างจริงจังนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ในเวลาไม่ช้า ประเทศไทยจะมีพลเมืองมากพอจนถึงจุดที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ประชาธิปไตยของประเทศไทยจะเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยที่เป็นการปกครองโดยประชาชนอย่างแท้จริง สังคมไทยจะกลายเป็นสังคมพลเมือง (Civil Society) เมื่อถึงจุดนั้น สังคมจะเข้มแข็ง ปัญหาการเมือง ปัญหาสังคม ปัญหาศีลธรรม ปัญหาเยาวชน ปัญหาสิ่งแวดล้อม แม้กระทั่งปัญหาเศรษฐกิจ ก็จะแก้ไขได้ทั้งสิ้น ไม่มีระบอบการปกครองอื่นใดนอกจากระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ ไม่มีระบอบอื่นใดนอกจากระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนจะมีสิทธิเสรีภาพและมีความเสมอภาคกัน ที่ผ่านมาประชาธิปไตยของประเทศไทยล้มเหลวเพราะไม่เคยสร้างสร้างประชาธิปไตยที่คน การสร้าง “พลเมือง” หรือเปลี่ยนประชาชนให้เป็น “พลเมือง” จึงเป็นหนทางในการพัฒนาประชาธิปไตยที่รากฐาน ที่เราต้องเริ่มดำเนินการนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป เพื่อให้ประเทศไทยมีประชาธิปไตยที่มั่นคง และเป็นประชาธิปไตยที่เป็นการปกครองโดยประชาชน ของประชาชน และเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น